ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

ทําความเข้าใจภาวะ Emotional Isolation และวิธีดูแลใจคุณแม่ให้อบอุ่น

08/2025
ประกันสุขภาพผู้สูงอายุ, emotional isolation, ภาวะเหงาในผู้สูงวัย


เคยสังเกตไหมว่า แม้คุณจะกลับบ้านทุกเย็น แต่ภาพที่คุณเห็นคือคุณแม่นั่งอยู่หน้าจอทีวีเพียงลำพัง โดยมีเสียงจากละครหลังข่าวเป็นเหมือนเพื่อนคุยในทุก ๆ วัน แม้จะพยายามชวนคุณแม่คุยบ่อย ๆ แต่ก็มักจะตอบกลับมาสั้น ๆ และกลับไปสนใจในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า นี่คือภาพสะท้อนชีวิตจริงที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ครอบครัว และทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า สิ่งที่เรากำลังเห็นอยู่นี้คือ "ความเหงา" ธรรมดาที่มาพร้อมกับวัย หรือเป็นสัญญาณของภาวะที่มากกว่านั้นอย่าง Emotional Isolation หรือ ภาวะโดดเดี่ยวทางอารมณ์ กันแน่?

บทความนี้จะชวนมาทำความเข้าใจว่าภาวะ Emotional Isolation ในคุณแม่สูงวัยคืออะไร มีความแตกต่างจากความเหงาทั่วไปอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ เราจะสามารถดูแลสุขภาพใจคุณแม่ให้กลับมาสดใสและรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้งได้อย่างไรบ้าง
 

Emotional Isolation คืออะไร? 

ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ การที่ลูกหลานต้องออกไปทำงาน ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง อย่างไรก็ตาม การอยู่คนเดียวไม่ได้เท่ากับ “ความเหงา” เสมอไป และความเหงาก็ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราวที่เกิดขึ้นแล้วก็หายไป แต่มีภาวะหนึ่งที่อันตรายกว่านั้น นั่นคือ "Emotional Isolation" หรือภาวะโดดเดี่ยวทางอารมณ์
 

1. ความหมายของ Emotional Isolation

Emotional Isolation คือความรู้สึก “ขาดการเชื่อมโยง” ทางอารมณ์ แม้จะมีคนอยู่รอบตัวก็ตาม ลองนึกภาพว่าคุณแม่ของเรานั่งอยู่ท่ามกลางลูกหลานในห้องนั่งเล่น แต่กลับรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ ไม่สามารถพูดคุยเรื่องราวในใจกับใครได้ หรือรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน สิ่งนี้คือภาวะ Emotional Isolation ซึ่งไม่ใช่แค่การไม่มีเพื่อนคุย แต่เป็นการขาดความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้ง
 

2. ต่างจาก “ความเหงาชั่วคราว” อย่างไร?

  • ความเหงาชั่วคราว เป็นความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวในวันหยุด แต่จะหายไปเมื่อได้ทำกิจกรรมอื่นหรือได้พบปะผู้คน

  • Emotional Isolation เป็นความรู้สึกที่ฝังลึกและยาวนาน เป็นความรู้สึกว่างเปล่าและโดดเดี่ยวอย่างถาวร แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีผู้คนมากมายก็ตาม

ความเหงาชั่วคราวอาจเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะ Emotional Isolation ได้ หากปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้สะสมและไม่ได้รับการแก้ไข
 

3. ทำไมส่วนมากคุณแม่สูงวัยจึงมีแนวโน้มเผชิญภาวะนี้?

มีหลายปัจจัยในชีวิตของผู้สูงอายุวัยนี้ที่ทำให้เกิดโอกาสเผชิญกับภาวะ Emotional Isolation ได้ง่ายขึ้น เช่น

  • เกษียณ ไม่มีบทบาททางสังคม เมื่อคุณแม่เกษียณจากงานประจำ บทบาททางสังคมที่เคยมีก็จะหายไป ทำให้รู้สึกสูญเสียตัวตน และรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าเหมือนเมื่อก่อน

  • ลูกหลานยุ่ง ไม่มีเวลา ในขณะที่ลูกหลานทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัว จนไม่มีเวลาให้อย่างเต็มที่ คุณแม่จะรู้สึกถูกละเลยและไม่มีใครใส่ใจ

  • การสูญเสียคู่ชีวิต เพื่อน หรือพี่น้อง การจากไปของคนใกล้ชิดในวัยเดียวกัน ทำให้ต้องเผชิญกับความรู้สึกสูญเสียและเศร้าโศกอย่างรุนแรง และอาจทำให้คุณแม่รู้สึกว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

การทำความเข้าใจว่า Emotional Isolation คืออะไรและมีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง จะช่วยให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพใจคุณแม่สูงวัยให้มากขึ้น เพราะไม่ใช่แค่การจัดหาปัจจัยสี่ที่จำเป็น แต่การมอบความรัก ความเข้าใจ และเวลาให้แก่คุณแม่ ก็คือการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจที่แข็งแกร่งที่สุดได้
 

สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม เมื่อความเหงาไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดา

หลายครั้งที่เรามักจะมองข้ามความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคุณแม่ โดยคิดว่าเป็นเรื่องปกติของคนวัยนี้ แต่แท้จริงแล้ว สัญญาณเหล่านั้นอาจเป็นเสียงสะท้อนจากภาวะความเหงาและโดดเดี่ยวที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจอย่างร้ายแรง ดังนั้น การเรียนรู้ที่จะสังเกตและรับมือกับสัญญาณเตือนเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
 

1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

พฤติกรรมคือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดของสุขภาพใจที่เปลี่ยนไป ลองสังเกตดูว่าคุณแม่ของเรามีพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่

  • ไม่ค่อยพูดคุย จากที่เคยเป็นคนชอบเล่าเรื่องราวต่าง ๆ กลับกลายเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยโต้ตอบ หรือหลีกเลี่ยงการสนทนากับคนในครอบครัว

  • ไม่แสดงความรู้สึก ใบหน้าดูเรียบเฉย ไม่มีความสุขหรือความเศร้า ไม่หัวเราะกับเรื่องตลก หรือไม่สนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ

  • อยู่กับทีวีหรือวิทยุตลอดวัน ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการดูทีวีหรือฟังวิทยุเพียงลำพัง แทนที่จะออกไปทำกิจกรรมอื่น หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

พฤติกรรมเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของภาวะ “ซึมเศร้าในผู้สูงวัย” ที่ไม่ควรมองข้าม
 

2. สุขภาพร่างกายทรุดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ

ความเครียดและความเหงาอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกายของคุณแม่สูงวัย ลองสังเกตอาการเหล่านี้

  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไม่มีความอยากอาหาร กินได้น้อยลง หรือน้ำหนักลดลงอย่างเห็นได้ชัดโดยไม่มีสาเหตุทางการแพทย์ที่ชัดเจน

  • ปวดเมื่อย อ่อนเพลียเรื้อรัง มีอาการปวดตามร่างกาย อ่อนเพลีย หมดแรงอยู่ตลอดเวลา แม้จะพักผ่อนอย่างเพียงพอแล้วก็ตาม ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากความเครียดที่สะสมในร่างกาย
     

3. สุขภาพจิตเริ่มแปรปรวน

เมื่อสุขภาพใจเริ่มแย่ลง ผู้สูงอายุวัยนี้อาจแสดงอาการทางอารมณ์ที่รุนแรงและผิดปกติไปจากเดิม เช่น

  • หงุดหงิด วิตกกังวล ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวนง่าย หงุดหงิดกับเรื่องเล็กน้อย วิตกกังวลอย่างไม่มีเหตุผล หรือมีอาการซึมเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

  • พูดถึงความตาย ความไม่มีคุณค่า เริ่มพูดถึงความตาย ความรู้สึกว่าเป็นภาระ หรือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่าในสายตาของคนอื่น ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่อันตรายและจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน
     

การรับมือกับสัญญาณเตือน

หากพบสัญญาณเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าไปพูดคุยอย่างเปิดใจ รับฟังสิ่งที่คุณแม่ของเรารู้สึกโดยไม่ตัดสิน และสร้างความมั่นใจว่าคุณแม่ยังเป็นที่รักและสำคัญกับเราเสมอ หากอาการรุนแรงขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ควรพาคุณแม่ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การใส่ใจและไม่มองข้ามสัญญาณเตือนเหล่านี้คือการแสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีให้อย่างแท้จริง
 

วิธีดูแลใจคุณแม่ให้อบอุ่น 

จากงานวิจัยของ Kanel พบว่า การปรับมุมมองต่อปัญหาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันภาวะวิกฤตทางอารมณ์ เมื่อบุคคลสามารถมองปัญหาอย่างสร้างสรรค์และพัฒนาทักษะการรับมือได้ ความรู้สึกไม่เป็นสุขจะลดลง และนำไปสู่พฤติกรรมที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในฐานะลูกจึงควรให้ความสำคัญต่อแนวทางในการดูแลใจคุณแม่สูงวัยให้รู้สึกอบอุ่นและมีคุณค่า แม้ว่าตารางชีวิตของเราจะแน่นแค่ไหนก็ตาม
 

1. สื่อสารสม่ำเสมอ เพียง 5 นาทีต่อวัน

การสื่อสารคือหัวใจสำคัญของการเชื่อมความสัมพันธ์ ลองใช้เวลาสั้น ๆ เพียง 5-10 นาทีต่อวัน โทรหาคุณแม่เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ พูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็สร้างความรู้สึกดี ๆ ได้ การสื่อสารที่สม่ำเสมอจะช่วยให้คุณแม่สูงวัยรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังและยังเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเราเสมอ
 

2. พาคุณแม่ออกจากบ้านบ้าง

การอยู่ในบ้านเพียงอย่างเดียวเป็นเวลานานอาจทำให้ผู้สูงอายุวัยนี้รู้สึกเหงาและโดดเดี่ยว ลองใช้เวลาว่างในวันหยุดสั้น ๆ พาคุณแม่ของเราออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เช่น ไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้บ้าน ไปทำบุญที่วัด หรือนัดเพื่อน ๆ ของคุณแม่มาทานข้าวร่วมกัน การได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ และเปลี่ยนบรรยากาศจะช่วยให้คุณแม่มีชีวิตชีวาและรู้สึกสดชื่นมากขึ้น
 

3. สร้างกิจกรรมเล็ก ๆ ที่คุณแม่รู้สึกมี “คุณค่า”

ผู้สูงอายุวัยนี้ต้องการรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่พึ่งและมีประโยชน์ การมอบหมายกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณแม่เองสามารถทำได้และชื่นชอบ จะช่วยเติมเต็มความรู้สึกมีคุณค่า เช่น การให้คุณแม่ช่วยดูแลต้นไม้ในสวน ช่วยทำอาหารที่ตนเองถนัด หรือช่วยเล่านิทานให้หลาน ๆ ฟัง การที่คุณแม่สูงวัยได้ทำในสิ่งที่รักและยังเป็นที่ต้องการ จะทำให้รู้สึกมีความสุขและภูมิใจในตัวเองมากขึ้น
 

4. สนับสนุนคุณแม่สูงวัยให้เข้าร่วมชมรมในชุมชน

การเข้าสังคมถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุวัยนี้ การเข้าร่วมชมรมหรือกลุ่มผู้สูงวัยในชุมชนจะเปิดโอกาสให้คุณแม่เองได้พบปะเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่ได้มีสังคมใหม่ ๆ มีเพื่อนคุย และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยรวมมากขึ้น แนะนำให้ลูก ๆ ลองพาคุณแม่ไปดูชมรมต่าง ๆ ที่ท่านสนใจ เช่น ชมรมรำวง ชมรมโยคะ หรือชมรมทำอาหาร เป็นต้น
 

5. สังเกตอาการผิดปกติ และไม่ลังเลที่จะพาไปพบผู้เชี่ยวชาญ

ความเหงา ความเศร้า หรือความเครียด หากสะสมนานเข้าอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุได้ ลองสังเกตพฤติกรรมของคุณแม่ของเราว่าเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ เช่น มีอาการซึมเศร้า เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หรือเก็บตัวอยู่คนเดียวมากขึ้น เป็นต้น หากพบสัญญาณที่ผิดปกติ อย่าลังเลที่จะพาคุณแม่ไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา เพราะการได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ท่านกลับมามีสุขภาพใจที่แข็งแรงอีกครั้ง

การดูแลใจคุณแม่สูงวัยให้รู้สึกอบอุ่นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่เราใส่ใจและใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน ก็สามารถสร้างความสุขและทำให้คุณแม่รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่รักและสำคัญที่สุดในชีวิตของลูก ๆ เสมอ
 

อย่าลืมดูแลสุขภาพกายควบคู่ไปกับสุขภาพใจ

ความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพใจมีความเชื่อมโยงกัน เมื่อสุขภาพใจไม่แข็งแรง ร่างกายก็อาจได้รับผลกระทบตามมาได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเลยการดูแลตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะผู้สูงอายุวัยนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น ได้ง่ายกว่าคนวัยอื่น

ภาวะซึมเศร้าและความเหงาอาจทำให้คุณแม่ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต จนละเลยกิจวัตรประจำวันที่สำคัญ เช่น การกินยาตามเวลา การควบคุมอาหาร หรือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพตามนัด เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้โรคร้ายที่เป็นอยู่กำเริบขึ้น หรือเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมาได้

 

ความเหงาของคุณแม่สูงวัยอาจเป็นบาดแผลลึกที่มองไม่เห็น การที่เสียงจากทีวีกลายเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวจึงเป็นสัญญาณที่ในฐานะลูกไม่ควรมองข้าม เพราะนั่นอาจหมายถึงภาวะ Emotional Isolation หรือความเหงาทางอารมณ์ ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพกายและใจของคุณแม่

การดูแลหัวใจที่เดียวดายของคุณแม่วัยนี้ให้กลับมาอบอุ่นและมีชีวิตชีวาอีกครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก แต่ต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความจริงใจ เพียงแค่การแสดงออกถึงความรัก ความเข้าใจ และการให้เวลาคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถเยียวยาบาดแผลในใจได้อย่างดีเยี่ยม

นอกจากนี้ การวางแผนสุขภาพระยะยาวด้วยประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยดูแลคุณแม่สูงวัยได้อย่างครอบคลุม เพราะนอกจากจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายยามเจ็บป่วยแล้ว การมีประกันสุขภาพยังช่วยให้คุณแม่รู้สึกว่า "ลูกยังห่วงใยและใส่ใจ" แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา
 

ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ทั้งนี้ การรับประกันภัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ รายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย


แหล่งข้อมูลอ้างอิง 
- ประสบการณ์ทางจิตใจในการเข้าร่วมกลุ่มการปรึกษาเชิงจิตวิทยาที่มีศิลปะเป็นสื่อของนิสิตนักศึกษาที่มีแนวโน้มภาวะวิกฤตทางอารมณ์, อัจจิมา อาภานันท์ (2557)
 

บทความ

สัญญาณเงียบของภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression) รู้ทันเพื่อดูแลแม่ตั้งแต่วันแรกที่กลับบ้าน

อาการซึมเศร้าหลังคลอดไม่ใช่เรื่องไกลตัว รู้ทันสัญญาณเงียบของภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression)

เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
 

คุณพ่อคุณแม่ต่างก็คงอยากเห็นลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างสมวัยและสมบูรณ์แข็งแรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายมากขึ้น ทั้งจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง

คุณแม่วัย 40+ กับความเสี่ยงที่จะขาดวิตามิน D แบบไม่รู้ตัว เรียนรู้วิธีดูแลกระดูกและอารมณ์ให้แข็งแรงทุกวัน

คุณแม่วัย 40+ ไม่ควรละเลยความเสี่ยงของการ ขาดวิตามินดี ส่งผลโดยต่อความแข็งแรงของกระดูกและอาจกระทบถึงภาวะทางอารมณ์โดยไม่รู้ตัว

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ