
คู่มือเลือกประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
หน้าร้อนในสายตาเด็กอาจเป็นฤดูแห่งการเล่นน้ำ ท่องเที่ยว และกินไอศกรีมเย็น ๆ แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว มันคือฤดูกาลที่ โรคฮิตในเด็ก พากันมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว อากาศร้อนจัด ความชื้นสูง และพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่รู้จักป้องกันตัวเองดีพอ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายในหมู่เด็กเล็ก
ฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่เด็ก ๆ ตั้งตารอคอยสำหรับการผจญภัยกลางแจ้ง เช่น การเดินทางไปทะเล การเข้าค่าย หรือการเล่นกับเพื่อน ๆ ที่สนามเด็กเล่น อย่างไรก็ตาม ความสนุกที่มาพร้อมกับฤดูกาลนี้อาจพาไปสู่การละเลยปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ สุขภาพของเด็ก ในขณะที่เด็ก ๆ เพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับอากาศร้อนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ทันระวัง
การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้เด็ก ๆ เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้หลายโรค ร่างกายที่อ่อนเพลียจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้เด็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานน้อยอยู่แล้วเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โรคหน้าร้อนในเด็กต้องระวังโรคอะไรบ้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันอย่างไร มาดูกันเลย
ฤดูร้อนทำให้ลูกเจ็บป่วยได้มากกว่าในฤดูอื่น ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าร้อนนี้ มี 5 โรคดังนี้
หน้าร้อนมักมาพร้อมกับกิจกรรมกลางแจ้งที่สนุกสนาน แต่สำหรับหลาย ๆ คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ โรคลมแดด (Heat Stroke) กลับกลายเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงเกินไปในช่วงที่อากาศร้อนจัด โรคนี้อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งภายในและภายนอกได้
โรคลมแดด (Heat Stroke) เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เมื่ออากาศร้อนจัด หรือเมื่อมีการออกกำลังกายที่หนักในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง เช่น การเล่นกลางแดด หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลากลางวัน เมื่อร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อน จะส่งผลให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไป ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายใน เช่น สมอง และอาจทำให้เสียชีวิตได้
อาการของโรคลมแดดมักเริ่มจากอาการเบื้องต้นที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่
อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40°C โดยที่ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว
เหงื่อออกน้อยหรือไม่ออกเลย ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนด้วยเหงื่อได้
อาการวิงเวียนศีรษะ หรือมึนงง การขาดน้ำและการกระจายความร้อนที่ผิดปกติทำให้มีอาการเวียนหัว
หายใจเร็ว และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ร่างกายพยายามปรับสมดุลโดยการหายใจเร็ว
การสับสน หรือหมดสติ สัญญาณเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความเสียหายต่อสมอง
ช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในวันคือระหว่าง 10.00 น. - 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก หากไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการสัมผัสกับอากาศร้อนจัด
การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญในช่วงหน้าร้อน เพราะการขาดน้ำสามารถทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังจากการออกกำลังกายหรือตอนที่อยู่กลางแดด
ความต้องการปริมาณน้ำดื่มของเด็กในแต่ละวันจะมากน้อยต่างกันตามปัจจัยต่าง ๆ ทั้งอายุ เพศ สภาพอากาศ หรือถ้าทำกิจกรรมที่ต้องสูญเสียเหงื่อก็จำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในอาการขาดน้ำ World Health Organization (WHO) จึงแบ่งปริมาณน้ำต่อวันที่เด็ก ๆ ต้องการ ตามช่วงวัยและเพศได้ดังนี้
1 – 3 ปี ควรดื่มน้ำ 5 แก้วต่อวัน
3 – 8 ปี ควรดื่มน้ำ 6 – 7 แก้วต่อวัน
9 – 13 ปี หญิง ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน
9 – 13 ปี ชาย ควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน
14 – 18 ปี หญิง ควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน
14 – 18 ปี ชาย ควรดื่มน้ำ 13 แก้วต่อวัน
การสวมเสื้อผ้าที่ช่วยระบายความร้อน เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุระบายอากาศได้ดี เลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับหน้าร้อน เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ที่สามารถระบายความชื้นได้เร็ว ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี เมื่อสวมใส่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นขึ้น นอกจากนี้การสวมหมวกหรือปีกกว้างยังช่วยบังแดดที่สามารถทำให้ร่างกายร้อนเกินไป
ช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยเป็นฤดูกาลที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Enterovirus ที่เป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปาก ซึ่งสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานและแพร่กระจายง่ายผ่านการสัมผัสกับน้ำลาย น้ำมูก ตุ่มน้ำใส หรือผื่นบริเวณผิวหนังของผู้ที่เป็นโรค สามารถพบได้บ่อยในเด็กทารก เด็กเล็ก หรือเด็กในวัยเรียน
พ่อแม่ที่มีลูกเล็กจึงต้องดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะโรคมือเท้าปากมักมีการระบาดในโรงเรียนและสถานที่ที่เด็ก ๆ ไปรวมตัวกัน ซึ่งในช่วงหน้าร้อนเด็กปิดเทอมใหญ่ และมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจทำให้เด็กเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมือเท้าปากได้มากขึ้น
โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) โดยเฉพาะชนิดที่พบได้บ่อย คือ Coxsackievirus A16 และ Enterovirus 71 (EV71) เชื้อไวรัสเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายผ่าน
น้ำลาย น้ำมูก น้ำในตุ่มพอง อุจจาระ
การสัมผัสของใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ของเล่น หรือพื้นผิวที่เด็กสัมผัสร่วมกัน
เชื้อสามารถแพร่จากเด็กสู่เด็กผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น จับมือ การเล่นกันอย่างใกล้ชิด
การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นแม้ไม่มีอาการ เนื่องจากเด็กบางคนเป็นพาหะโดยไม่แสดงอาการ
เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มักเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และมักเล่นหรือสัมผัสของร่วมกัน
อาการของโรคนี้จะแสดงชัดเจนใน 3 จุดหลัก คือ "มือ เท้า และปาก" โดยมีลักษณะดังนี้
มีไข้ (มักเริ่มต้นก่อนผื่นจะขึ้น)
เจ็บปากหรือเจ็บคอ
มีตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดงในปาก ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม
ผื่นหรือตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และก้น
เบื่ออาหาร งอแง น้ำลายไหลมากเพราะเจ็บปาก
เด็กบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย หรืออาเจียนร่วมด้วย
เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก การดูแลและป้องกันจึงต้องอาศัยพฤติกรรมที่ถูกสุขลักษณะ ดังนี้
โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อไวรัสแพร่ได้รวดเร็ว การรู้จัก สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจาย และดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรคตาแดง เป็นโรคที่สามารถพบได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก และสามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ในช่วงหน้าร้อน ที่มีอากาศร้อนชื้นและมีฝุ่นละอองจำนวนมาก เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น และเด็กมักเอามือขยี้ตาโดยไม่ล้างมือ โรคตาแดง จึงเป็นอีกหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อย เมื่อเด็กเป็นโรคตาแดง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดหรือภาวะแทรกซ้อนได้
โรคตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มีสิ่งกระตุ้นหลายอย่าง เช่น
การติดเชื้อไวรัส : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซึ่งติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสน้ำตาหรือสารคัดหลั่ง
การติดเชื้อแบคทีเรีย : เกิดจากแบคทีเรีย เช่น สแตฟีโลคอคคัส ซึ่งอาจมากับมือสกปรกหรือของใช้ร่วมกัน
ภูมิแพ้ : เด็กบางคนอาจมีอาการตาแดงจากฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือควัน
การระคายเคืองจากสารเคมี : เช่น คลอรีนในสระว่ายน้ำ หรือสบู่แชมพูที่เข้าตา
อาการที่สังเกตได้ในเด็กที่เป็นโรคตาแดง มีดังนี้
ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมีสีแดง
น้ำตาไหลมากผิดปกติ
คันตา แสบตา หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา
มีขี้ตาเหนียว โดยเฉพาะหลังตื่นนอน
หนังตาบวม หรือแพ้แสง
เด็กบางรายอาจมีไข้หรือเจ็บคอร่วมด้วย (หากเป็นจากไวรัส)
แม้โรคตาแดงจะติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้
ในช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนจัดหลายคนมองข้ามเรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ดื่มและทำอาหาร โดยไม่รู้ว่าแหล่งน้ำที่ไม่สะอาดอาจเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วง การรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ สารพิษและสารเคมี จึงมีโอกาสท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้เด็กเกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน
โรคอุจจาระร่วงเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเข้าไป เช่น เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือไวรัส ซึ่งการปนเปื้อนนี้ส่วนใหญ่เกิดจาก
เด็กที่ชอบดูดหรืออมนิ้วมือและหยิบของที่ตกพื้นเข้าปาก
ไม่ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม ก่อนปรุงอาหาร หรือก่อนรับประทานอาหาร
ดื่มน้ำที่ไม่สะอาดไม่ได้ผ่านการกรองหรือจากการใช้ระบบน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน
ทานอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน หรือมีแมลงวันตอม
ทานผักสด หรือผลไม้ที่ไม่ล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
อาการที่พบได้บ่อยจากการติดเชื้อที่เกิดจากอาหารและน้ำดื่ม ได้แก่
ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้ง หรือมากกว่า
คลื่นไส้และอาเจียน ร่างกายพยายามขับสิ่งสกปรกออกจากระบบทางเดินอาหาร
ท้องอืด การสะสมของก๊าซในกระเพาะอาหาร
ไข้ ในบางกรณีอาจมีไข้สูงร่วมกับอาการท้องเสีย
น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย การขาดน้ำจากการอาเจียนและท้องเสีย
การป้องกันโรคอุจจาระร่วงในหน้าร้อนสามารถทำได้ดังนี้
1. ดื่มน้ำสะอาดเท่านั้น
ใช้น้ำที่ผ่านการกรองหรือผ่านการต้มอย่างน้อย 5 นาที และเลือกดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีฉลากถูกต้องและไม่มีรอยรั่ว
2. ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนทาน
ล้างด้วยนํ้าสะอาดหลายครั้งและแช่น้ำผสมด่างทับทิมหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต ก่อนนําไปประกอบอาหาร
3. รักษาความสะอาดของภาชนะและมือ
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ และใช้ภาชนะที่ล้างสะอาดและเก็บไว้ในที่ปลอดภัยจากแมลงและฝุ่น
4. กำจัดแหล่งเพาะแมลงวัน
ขยะในบ้านควรเก็บทิ้งในถังมีฝาปิดมิดชิดทุกวัน และควรเก็บอาหารไม่ให้แมลงวันตอมหรือเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อจะทำให้เชื้อโรคแบ่งตัวช้าลง
โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี เพราะเป็นประเทศเขตร้อนชื้น ซึ่งช่วงที่โรคระบาดจะเกิดในช่วงเปลี่ยนฤดูของประเทศไทย คือ
ปลายฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน (ประมาณพฤษภาคม–กรกฎาคม)
ปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว (ประมาณกันยายน–พฤศจิกายน)
หลายคนคิดว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นเรื่องของหน้าหนาว แต่ในความเป็นจริงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดปีในไทย โดยเฉพาะในห้องแอร์ โรงเรียน หรือห้างที่อากาศปิด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก เช่น การไปเที่ยวหรือการรวมกลุ่มในช่วงวันหยุดยาว แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการที่รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ มีไข้สูง ไอ และอาจมีอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล และเบื่ออาหารได้ เป็นต้น
ไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือลมหายใจจากผู้ป่วย โดยเชื้อไวรัสสามารถอยู่ในอากาศได้เป็นระยะเวลานานและติดต่อได้ง่าย หากมีอาการไอแห้ง ไม่มีเสมหะ และไม่มีไข้ อาจเป็นสัญญาณของอาการที่ไม่รุนแรง แต่ถ้าต่อเนื่อง ควรระวังและอาจจำเป็นต้องเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมและดูวิธีการรักษาที่เหมาะสม
อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าร้อนมีดังนี้
ไข้สูง ไข้ที่เกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอุณหภูมิสูงถึง 38-39 องศาเซลเซียส
ปวดหัว อาการปวดหัวมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการไข้
เจ็บคอ ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเจ็บหรือระคายคอ
ไอ ไอแห้งหรือมีเสมหะร่วมด้วย
คัดจมูก การมีน้ำมูกไหลเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบบ่อย
อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรงและไม่อยากทานอาหาร
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้
1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี
การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ และควรทำเป็นประจำทุกปี
2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด
ในช่วงหน้าร้อนที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก การหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนหนาแน่นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรือหากต้องอยู่ในสถานที่แออัด ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
3. หมั่นล้างมือ
การล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร หลังไอ จาม หรือหลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะ ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และหลีกเลี่ยงการจับหน้า จมูก ปาก ขณะที่มือยังไม่สะอาด
4. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการ หรืออยู่ใกล้ผู้ป่วย
เพราะการไอ จาม สามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตร ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทําได้ง่าย ๆ
การดูแลสุขภาพของเด็กในช่วงหน้าร้อนนั้นไม่เพียงแค่การดูแลร่างกายจากภายนอก แต่ยังต้องคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมทางการเงิน โดยการเลือกซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมมีส่วนช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้ว่า หากเกิดอุบัติเหตุหรืออาการป่วยที่ไม่คาดคิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะไม่เป็นภาระ ประกันสุขภาพจาก ชับบ์ ไลฟ์ เป็นการวางแผนระยะยาวที่ช่วยให้ครอบครัวไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในช่วงที่เด็กๆ ป่วยบ่อยหรือมีอาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในฤดูร้อน
ทั้ง 5 โรคที่กล่าวถึงในบทความนี้ล้วนเป็นโรคที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจากเด็ก ๆ มีภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เด็กๆ มีโอกาสป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ การเตรียมตัวและป้องกันตั้งแต่เนิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ และการเลือก ประกันสุขภาพ ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาในกรณีที่ลูกป่วยไม่คาดคิด
หมายเหตุ:
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ทั้งนี้การรับประกันภัยจะเป็นไปตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ
คู่มือเลือกประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
อยากซื้อประกันสุขภาพเริ่มต้นอย่างไรดี เลือกแบบประกันอย่างไรให้ตอบโจทย์
สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง
ติดต่อเรา
ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ปกป้อง ดูแลคุณ
หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ