5 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าร้อนที่พ่อแม่ควรระวัง

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

5 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าร้อนที่พ่อแม่ควรระวัง

04/2025
โรคเด็กช่วงหน้าร้อน, รับมือโรคเด็กช่วงหน้าร้อน


หน้าร้อนในสายตาเด็กอาจเป็นฤดูแห่งการเล่นน้ำ ท่องเที่ยว และกินไอศกรีมเย็น ๆ แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว มันคือฤดูกาลที่ โรคฮิตในเด็ก พากันมาเยือนแบบไม่ทันตั้งตัว อากาศร้อนจัด ความชื้นสูง และพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่รู้จักป้องกันตัวเองดีพอ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายในหมู่เด็กเล็ก

ฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่เด็ก ๆ ตั้งตารอคอยสำหรับการผจญภัยกลางแจ้ง เช่น การเดินทางไปทะเล การเข้าค่าย หรือการเล่นกับเพื่อน ๆ ที่สนามเด็กเล่น อย่างไรก็ตาม ความสนุกที่มาพร้อมกับฤดูกาลนี้อาจพาไปสู่การละเลยปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ สุขภาพของเด็ก ในขณะที่เด็ก ๆ เพลิดเพลินกับกิจกรรมต่าง ๆ ความเสี่ยงจากโรคต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับอากาศร้อนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ไม่ทันระวัง

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศในฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้เด็ก ๆ เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้หลายโรค ร่างกายที่อ่อนเพลียจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น อาจทำให้เด็ก ๆ ที่มีภูมิต้านทานน้อยอยู่แล้วเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น โรคหน้าร้อนในเด็กต้องระวังโรคอะไรบ้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันอย่างไร มาดูกันเลย
 

5 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าร้อน

ฤดูร้อนทำให้ลูกเจ็บป่วยได้มากกว่าในฤดูอื่น ซึ่งโรคที่พบได้บ่อยในช่วงหน้าร้อนนี้ มี 5 โรคดังนี้
 

1. โรคลมแดดหรือฮีทสโตรก

หน้าร้อนมักมาพร้อมกับกิจกรรมกลางแจ้งที่สนุกสนาน แต่สำหรับหลาย ๆ คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ  โรคลมแดด (Heat Stroke) กลับกลายเป็นภัยเงียบที่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงเกินไปในช่วงที่อากาศร้อนจัด โรคนี้อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว และหากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งภายในและภายนอกได้
 

สาเหตุของโรคลมแดด

โรคลมแดด (Heat Stroke) เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้เมื่ออากาศร้อนจัด หรือเมื่อมีการออกกำลังกายที่หนักในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง เช่น การเล่นกลางแดด หรือการทำกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลากลางวัน เมื่อร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อออกเพื่อระบายความร้อน จะส่งผลให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไป ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะภายใน เช่น สมอง และอาจทำให้เสียชีวิตได้
 

อาการของโรคลมแดด

อาการของโรคลมแดดมักเริ่มจากอาการเบื้องต้นที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่

  • อุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 40°C โดยที่ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว

  • เหงื่อออกน้อยหรือไม่ออกเลย ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนด้วยเหงื่อได้

  • อาการวิงเวียนศีรษะ หรือมึนงง การขาดน้ำและการกระจายความร้อนที่ผิดปกติทำให้มีอาการเวียนหัว

  • หายใจเร็ว และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ร่างกายพยายามปรับสมดุลโดยการหายใจเร็ว

  • การสับสน หรือหมดสติ สัญญาณเตือนอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากความเสียหายต่อสมอง
     

วิธีป้องกันโรคลมแดดในหน้าร้อน

1. หลีกเลี่ยงการออกแดดจัดในช่วงกลางวัน

ช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดในวันคือระหว่าง 10.00 น. - 15.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงการออกไปข้างนอก หากไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการสัมผัสกับอากาศร้อนจัด

2. ดื่มเยอะ ๆ และพักในที่ร่ม

การดื่มน้ำเป็นสิ่งสำคัญในช่วงหน้าร้อน เพราะการขาดน้ำสามารถทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคลมแดด ควรดื่มน้ำเยอะ ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังจากการออกกำลังกายหรือตอนที่อยู่กลางแดด

ความต้องการปริมาณน้ำดื่มของเด็กในแต่ละวันจะมากน้อยต่างกันตามปัจจัยต่าง ๆ ทั้งอายุ เพศ สภาพอากาศ หรือถ้าทำกิจกรรมที่ต้องสูญเสียเหงื่อก็จำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในอาการขาดน้ำ World Health Organization (WHO) จึงแบ่งปริมาณน้ำต่อวันที่เด็ก ๆ ต้องการ ตามช่วงวัยและเพศได้ดังนี้

  • 1 – 3 ปี ควรดื่มน้ำ 5 แก้วต่อวัน

  • 3 – 8 ปี ควรดื่มน้ำ 6 – 7 แก้วต่อวัน

  • 9 – 13 ปี หญิง ควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน

  • 9 – 13 ปี ชาย ควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน

  • 14 – 18 ปี หญิง ควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน

  • 14 – 18 ปี ชาย ควรดื่มน้ำ 13 แก้วต่อวัน
     

3. สวมเสื้อผ้าที่ระบายความร้อนได้ดี และหมวกป้องกันแสงแดด

การสวมเสื้อผ้าที่ช่วยระบายความร้อน เสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุระบายอากาศได้ดี เลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับหน้าร้อน เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ที่สามารถระบายความชื้นได้เร็ว ทำให้อากาศถ่ายเทได้ดี เมื่อสวมใส่จะช่วยทำให้ร่างกายเย็นขึ้น นอกจากนี้การสวมหมวกหรือปีกกว้างยังช่วยบังแดดที่สามารถทำให้ร่างกายร้อนเกินไป
 

2. โรคมือ เท้า ปาก

ช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยเป็นฤดูกาลที่เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะเชื้อในกลุ่ม Enterovirus ที่เป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปาก ซึ่งสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานและแพร่กระจายง่ายผ่านการสัมผัสกับน้ำลาย น้ำมูก ตุ่มน้ำใส หรือผื่นบริเวณผิวหนังของผู้ที่เป็นโรค สามารถพบได้บ่อยในเด็กทารก เด็กเล็ก หรือเด็กในวัยเรียน 

พ่อแม่ที่มีลูกเล็กจึงต้องดูแลและระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะโรคมือเท้าปากมักมีการระบาดในโรงเรียนและสถานที่ที่เด็ก ๆ ไปรวมตัวกัน ซึ่งในช่วงหน้าร้อนเด็กปิดเทอมใหญ่ และมีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจทำให้เด็กเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคมือเท้าปากได้มากขึ้น
 

สาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก

โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่ม เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) โดยเฉพาะชนิดที่พบได้บ่อย คือ Coxsackievirus A16 และ Enterovirus 71 (EV71) เชื้อไวรัสเหล่านี้แพร่กระจายได้ง่ายผ่าน

  • น้ำลาย น้ำมูก น้ำในตุ่มพอง อุจจาระ

  • การสัมผัสของใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ของเล่น หรือพื้นผิวที่เด็กสัมผัสร่วมกัน

  • เชื้อสามารถแพร่จากเด็กสู่เด็กผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น จับมือ การเล่นกันอย่างใกล้ชิด

  • การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นแม้ไม่มีอาการ เนื่องจากเด็กบางคนเป็นพาหะโดยไม่แสดงอาการ

เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี มักเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุด เพราะภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และมักเล่นหรือสัมผัสของร่วมกัน
 

อาการของโรคมือ เท้า ปาก

อาการของโรคนี้จะแสดงชัดเจนใน 3 จุดหลัก คือ "มือ เท้า และปาก" โดยมีลักษณะดังนี้

  • มีไข้ (มักเริ่มต้นก่อนผื่นจะขึ้น)

  • เจ็บปากหรือเจ็บคอ

  • มีตุ่มน้ำใสหรือตุ่มแดงในปาก ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม

  • ผื่นหรือตุ่มน้ำใสที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และก้น

  • เบื่ออาหาร งอแง น้ำลายไหลมากเพราะเจ็บปาก

  • เด็กบางรายอาจมีอาการอ่อนเพลีย หรืออาเจียนร่วมด้วย
     

วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก การดูแลและป้องกันจึงต้องอาศัยพฤติกรรมที่ถูกสุขลักษณะ ดังนี้

  1. ล้างมือด้วยสบู่อย่างถูกวิธีอย่างน้อย 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
  2. ทำความสะอาดของเล่น ของใช้ส่วนตัว และพื้นผิวต่าง ๆ เป็นประจำ
  3. หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อน ผ้าเช็ดหน้า
  4. หลีกเลี่ยงพาเด็กไปในที่ชุมชนแออัด
  5. ดูแลความสะอาดของห้องเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก และมีระบบระบายอากาศที่ดี
  6. หากพบว่าเด็กมีอาการ ควรหยุดเรียนทันที และพาไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ
  7. สอนเด็กไม่เอาของเล่นเข้าปาก และระวังไม่ให้สัมผัสของสกปรก

โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่เชื้อไวรัสแพร่ได้รวดเร็ว การรู้จัก สาเหตุ อาการ และวิธีป้องกัน ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่กระจาย และดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

3. โรคตาแดง

โรคตาแดง เป็นโรคที่สามารถพบได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก และสามารถติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ในช่วงหน้าร้อน ที่มีอากาศร้อนชื้นและมีฝุ่นละอองจำนวนมาก เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีในอากาศร้อนชื้น และเด็กมักเอามือขยี้ตาโดยไม่ล้างมือ โรคตาแดง จึงเป็นอีกหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อย เมื่อเด็กเป็นโรคตาแดง หากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดหรือภาวะแทรกซ้อนได้ 
 

สาเหตุของโรคตาแดง

โรคตาแดงเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่มีสิ่งกระตุ้นหลายอย่าง เช่น

  • การติดเชื้อไวรัส : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซึ่งติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสน้ำตาหรือสารคัดหลั่ง

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย : เกิดจากแบคทีเรีย เช่น สแตฟีโลคอคคัส ซึ่งอาจมากับมือสกปรกหรือของใช้ร่วมกัน

  • ภูมิแพ้ : เด็กบางคนอาจมีอาการตาแดงจากฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ หรือควัน

  • การระคายเคืองจากสารเคมี : เช่น คลอรีนในสระว่ายน้ำ หรือสบู่แชมพูที่เข้าตา

อาการของโรคตาแดง

อาการที่สังเกตได้ในเด็กที่เป็นโรคตาแดง มีดังนี้

  • ตาข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมีสีแดง

  • น้ำตาไหลมากผิดปกติ

  • คันตา แสบตา หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตา

  • มีขี้ตาเหนียว โดยเฉพาะหลังตื่นนอน

  • หนังตาบวม หรือแพ้แสง

  • เด็กบางรายอาจมีไข้หรือเจ็บคอร่วมด้วย (หากเป็นจากไวรัส)
     

วิธีป้องกันโรคตาแดง

แม้โรคตาแดงจะติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถป้องกันได้ด้วยวิธีเหล่านี้

  1. ล้างมือให้สะอาด บ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนและหลังจับบริเวณใบหน้า หรือตา
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หมอน หรือของเล่น
  3. สวมแว่นตาว่ายน้ำ เมื่อลงสระเพื่อป้องกันการระคายเคืองจากคลอรีน
  4. ทำความสะอาดของเล่นและของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ
  5. สอนเด็กไม่ให้ขยี้ตา เพราะจะทำให้อาการแย่ลง และแพร่เชื้อได้ง่าย
  6. พาไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการผิดปกติ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
     

4. โรคอุจจาระร่วง

ในช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนจัดหลายคนมองข้ามเรื่องความสะอาดของน้ำที่ใช้ดื่มและทำอาหาร โดยไม่รู้ว่าแหล่งน้ำที่ไม่สะอาดอาจเป็นต้นเหตุของโรคอุจจาระร่วง การรับประทานอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ สารพิษและสารเคมี จึงมีโอกาสท้องเสีย ท้องร่วง ทำให้เด็กเกิดอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน

สาเหตุของโรคอุจจาระร่วง

โรคอุจจาระร่วงเกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเข้าไป เช่น เชื้อแบคทีเรีย พยาธิ หรือไวรัส ซึ่งการปนเปื้อนนี้ส่วนใหญ่เกิดจาก

  • เด็กที่ชอบดูดหรืออมนิ้วมือและหยิบของที่ตกพื้นเข้าปาก

  • ไม่ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ หลังจากใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม ก่อนปรุงอาหาร หรือก่อนรับประทานอาหาร

  • ดื่มน้ำที่ไม่สะอาดไม่ได้ผ่านการกรองหรือจากการใช้ระบบน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน 

  • ทานอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน หรือมีแมลงวันตอม

  • ทานผักสด หรือผลไม้ที่ไม่ล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน
     

อาการของโรคอุจจาระร่วง

อาการที่พบได้บ่อยจากการติดเชื้อที่เกิดจากอาหารและน้ำดื่ม ได้แก่

  • ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้ง หรือมากกว่า

  • คลื่นไส้และอาเจียน ร่างกายพยายามขับสิ่งสกปรกออกจากระบบทางเดินอาหาร

  • ท้องอืด การสะสมของก๊าซในกระเพาะอาหาร

  • ไข้ ในบางกรณีอาจมีไข้สูงร่วมกับอาการท้องเสีย

  • น้ำหนักลดและอ่อนเพลีย การขาดน้ำจากการอาเจียนและท้องเสีย
     

วิธีป้องกันโรคอุจจาระร่วง

การป้องกันโรคอุจจาระร่วงในหน้าร้อนสามารถทำได้ดังนี้

1. ดื่มน้ำสะอาดเท่านั้น
ใช้น้ำที่ผ่านการกรองหรือผ่านการต้มอย่างน้อย 5 นาที และเลือกดื่มน้ำบรรจุขวดที่มีฉลากถูกต้องและไม่มีรอยรั่ว

2. ล้างผักผลไม้ให้สะอาดก่อนทาน
ล้างด้วยนํ้าสะอาดหลายครั้งและแช่น้ำผสมด่างทับทิมหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต ก่อนนําไปประกอบอาหาร

3. รักษาความสะอาดของภาชนะและมือ
ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ และใช้ภาชนะที่ล้างสะอาดและเก็บไว้ในที่ปลอดภัยจากแมลงและฝุ่น

4. กำจัดแหล่งเพาะแมลงวัน 
ขยะในบ้านควรเก็บทิ้งในถังมีฝาปิดมิดชิดทุกวัน และควรเก็บอาหารไม่ให้แมลงวันตอมหรือเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อจะทำให้เชื้อโรคแบ่งตัวช้าลง
 

5. โรคไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทยสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี เพราะเป็นประเทศเขตร้อนชื้น ซึ่งช่วงที่โรคระบาดจะเกิดในช่วงเปลี่ยนฤดูของประเทศไทย คือ 

  • ปลายฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝน (ประมาณพฤษภาคม–กรกฎาคม)

  • ปลายฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว (ประมาณกันยายน–พฤศจิกายน)

หลายคนคิดว่าโรคไข้หวัดใหญ่เป็นเรื่องของหน้าหนาว แต่ในความเป็นจริงสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดปีในไทย โดยเฉพาะในห้องแอร์ โรงเรียน หรือห้างที่อากาศปิด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก เช่น การไปเที่ยวหรือการรวมกลุ่มในช่วงวันหยุดยาว แม้ว่าโรคไข้หวัดใหญ่จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการที่รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ มีไข้สูง ไอ และอาจมีอาการอื่นๆ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล และเบื่ออาหารได้ เป็นต้น
 

สาเหตุของโรคไข้หวัดใหญ่

ไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายผ่านการไอ จาม หรือลมหายใจจากผู้ป่วย โดยเชื้อไวรัสสามารถอยู่ในอากาศได้เป็นระยะเวลานานและติดต่อได้ง่าย หากมีอาการไอแห้ง ไม่มีเสมหะ และไม่มีไข้ อาจเป็นสัญญาณของอาการที่ไม่รุนแรง แต่ถ้าต่อเนื่อง ควรระวังและอาจจำเป็นต้องเพื่อทำความเข้าใจเพิ่มเติมและดูวิธีการรักษาที่เหมาะสม
 

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าร้อนมีดังนี้

  • ไข้สูง ไข้ที่เกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอุณหภูมิสูงถึง 38-39 องศาเซลเซียส

  • ปวดหัว อาการปวดหัวมักเป็นอาการที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการไข้

  • เจ็บคอ ผู้ป่วยมักจะรู้สึกเจ็บหรือระคายคอ

  • ไอ ไอแห้งหรือมีเสมหะร่วมด้วย

  • คัดจมูก การมีน้ำมูกไหลเป็นอีกหนึ่งอาการที่พบบ่อย

  • อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยง่าย ไม่มีแรงและไม่อยากทานอาหาร
     

วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้

1. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี 
การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ และควรทำเป็นประจำทุกปี

2. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัด
ในช่วงหน้าร้อนที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก การหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนหนาแน่นจะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อ หรือหากต้องอยู่ในสถานที่แออัด ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

3. หมั่นล้างมือ
การล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะก่อนทานอาหาร หลังไอ จาม หรือหลังจากสัมผัสสิ่งของสาธารณะ ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส และหลีกเลี่ยงการจับหน้า จมูก ปาก ขณะที่มือยังไม่สะอาด

4. สวมหน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการ หรืออยู่ใกล้ผู้ป่วย 
เพราะการไอ จาม สามารถแพร่เชื้อได้ไกลถึง 1 เมตร ดังนั้นการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเหมือนเกราะป้องกันที่ทําได้ง่าย ๆ
 

การดูแลสุขภาพของเด็กในช่วงหน้าร้อนนั้นไม่เพียงแค่การดูแลร่างกายจากภายนอก แต่ยังต้องคำนึงถึงการเตรียมความพร้อมทางการเงิน โดยการเลือกซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมมีส่วนช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มั่นใจได้ว่า หากเกิดอุบัติเหตุหรืออาการป่วยที่ไม่คาดคิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะไม่เป็นภาระ ประกันสุขภาพจาก ชับบ์ ไลฟ์ เป็นการวางแผนระยะยาวที่ช่วยให้ครอบครัวไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในช่วงที่เด็กๆ ป่วยบ่อยหรือมีอาการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในฤดูร้อน 

ทั้ง 5 โรคที่กล่าวถึงในบทความนี้ล้วนเป็นโรคที่ควรเฝ้าระวัง เนื่องจากเด็ก ๆ มีภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้เด็กๆ มีโอกาสป่วยได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ การเตรียมตัวและป้องกันตั้งแต่เนิ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ และการเลือก ประกันสุขภาพ ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาในกรณีที่ลูกป่วยไม่คาดคิด 
 
หมายเหตุ:  
ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ทั้งนี้การรับประกันภัยจะเป็นไปตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ
 

บทความ

คู่มือเลือกประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ประกันสุขภาพที่ไหนดี? คำถามนี้กลายเป็นประเด็นสำคัญในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมีประกันสุขภาพไม่เพียงแต่เป็นการป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน แต่ยังเป็นการลงทุนในคุณภาพชีวิตระยะยาว

เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

คุณพ่อคุณแม่ต่างก็คงอยากเห็นลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างสมวัยและสมบูรณ์แข็งแรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายมากขึ้น ทั้งจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง

อยากซื้อประกันสุขภาพเริ่มต้นอย่างไรดี เลือกแบบประกันอย่างไรให้ตอบโจทย์

ในปัจจุบันที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมี ประกันสุขภาพ กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดภาระทางการเงิน และเพิ่มความอุ่นใจในชีวิต

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ