ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

เลี้ยงลูกแบบปล่อยให้ล้มแต่ไม่ปล่อยให้เจ็บ ศิลปะการเป็นพ่อแม่ที่สร้างภูมิคุ้มกันชีวิต

06/2025
ปล่อยให้ลูกล้ม, เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ, เสริมสร้างทักษะชีวิตให้ลูก


ปัจจุบันมีความท้าทายในการเป็นพ่อแม่มากมาย หลายคนมักรู้สึกอยากปกป้องลูกจากทุกอันตรายและความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่รู้ว่าในบางครั้งการปกป้องมากเกินไปกลับทำให้ลูกขาดทักษะสำคัญในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีภูมิคุ้มกันชีวิตที่แข็งแกร่ง แนวคิดการเลี้ยงลูกแบบ “ปล่อยให้ล้มแต่ไม่ปล่อยให้เจ็บ” จึงเป็นคำตอบของการสร้างสมดุลในชีวิตของลูกทั้งในด้านการเรียนรู้และการรับมือกับความท้าทายในอนาคต

ในการเติบโต พ่อแม่อาจต้องคอยสนับสนุนลูกในทุกด้าน รวมถึงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจ การให้ลูกได้มีโอกาสเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันชีวิตให้กับลูก เมื่อพูดถึงการพัฒนาทักษะและสมอง พ่อแม่อาจสนใจเรื่องการดูแลสุขภาพสมองของลูก เช่น การเลือก 15 อาหารบำรุงสมอง ที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และการจำ ซึ่งจะทำให้ลูกมีพื้นฐานที่ดีในการเผชิญกับความท้าทายในอนาคต
 

การเลี้ยงลูกในยุคที่พ่อแม่คอยป้องกันทุกอย่างจนลูกอาจมีทักษะชีวิตที่น้อยลง

ในปัจจุบัน เรามักเห็นพ่อแม่จำนวนมากที่พยายามปกป้องลูกจากทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่การทำการบ้านไปจนถึงการเล่นกีฬา เพื่อไม่ให้ลูกต้องเผชิญกับความล้มเหลวหรือความเจ็บปวดใด ๆ การปกป้องที่มากเกินไปนี้ทำให้ลูกไม่สามารถเรียนรู้วิธีการจัดการกับอุปสรรคในชีวิตและอาจขาดทักษะในการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง
 

ผลกระทบของการปกป้องที่มากเกินไป

  • ขาดทักษะในการแก้ปัญหา: เมื่อพ่อแม่คอยจัดการปัญหาหรือแก้ไขสถานการณ์ต่าง ๆ ให้ลูกเสมอ ลูกจะไม่สามารถฝึกฝนวิธีการจัดการกับปัญหาด้วยตัวเอง

  • ขาดความสามารถในการรับมือกับอุปสรรค: ลูกอาจไม่รู้ว่าจะจัดการกับความท้าทายหรือความผิดหวังอย่างไรเมื่อไม่ได้รับการฝึกฝนจากประสบการณ์จริง

  • ขาดความมั่นใจในตัวเอง: เมื่อเด็กไม่ได้รับโอกาสในการลองผิดลองถูก อาจทําให้พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเองเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ ๆ

ในทางตรงกันข้าม การปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้จากการล้มเหลวจะช่วยให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะในการแก้ปัญหา และพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ดีขึ้น
 

ทำไมต้องปล่อยให้ล้ม

การปล่อยให้ลูกเผชิญกับความล้มเหลวบ้างอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ชวนให้เศร้าใจ แต่ในความเป็นจริง การเรียนรู้จากความล้มเหลวเป็นกระบวนการที่สำคัญที่ช่วยพัฒนาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ (Emotional Resilience) การเผชิญกับอุปสรรคทำให้ลูกได้ฝึกฝนการปรับตัวและพัฒนาทักษะชีวิตที่จะทำให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้น การทำการบ้าน การเล่นกีฬา และ ความสัมพันธ์กับเพื่อน เป็นตัวอย่างของสถานการณ์ที่เด็กสามารถเรียนรู้วิธีจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกเมื่อเผชิญกับความท้าทายหรือความล้มเหลวได้ดีที่สุด

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก เป็นส่วนสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาเผชิญกับชีวิตในอนาคตได้อย่างมั่นคงและพร้อมที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
 

แนวคิดของ Grit และ Resilience

การเลี้ยงลูกให้เติบโตจนกลายเป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันชีวิตที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่การสอนให้ลูกรู้วิธีเรียนรู้จากความล้มเหลวเท่านั้น แต่ยังต้องฝึกฝนให้ลูกมี Grit และ Resilience ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการเผชิญกับความท้าทายในชีวิต ซึ่ง Grit และ Resilience คืออะไร ไปดูกัน
 

1. Grit พลังแห่งความพยายามไม่ย่อท้อ

Grit คือ ความมุ่งมั่นและความพยายามที่ไม่ย่อท้อแม้จะเผชิญกับอุปสรรคหรือความล้มเหลว ความพยายามนี้จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จตามเป้าหมาย แม้ในยามที่เกิดความยากลำบาก

การสอนให้ลูกมี Grit ไม่ใช่แค่การเน้นให้พวกเขาไม่ยอมแพ้ แต่ยังต้องเรียนรู้จากประสบการณ์ และพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นจากสิ่งที่ล้มเหลวไป การย้ำให้ลูกเข้าใจว่า การพยายามครั้งต่อไปมีค่าเสมอ จะช่วยให้พวกเขามีความพยายามในการเอาชนะอุปสรรคต่างๆ
 

2. Resilience พลังในการฟื้นตัว

Resilience คือ ความสามารถในการฟื้นตัวและกลับมามีพลังอีกครั้งหลังจากที่เผชิญกับความล้มเหลวหรือความผิดหวัง การสอนลูกให้มี Resilience เป็นการฝึกฝนให้พวกเขาไม่ท้อถอยเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก และสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

ในชีวิตจริง ความผิดหวังและความล้มเหลวเกิดขึ้นเสมอ แต่การมี Resilience จะช่วยให้ลูกสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลวและเริ่มต้นใหม่ด้วยความมั่นใจและความพยายามมากยิ่งขึ้น

การปลูกฝัง Grit และ Resilience ให้กับลูกไม่เพียงแต่ช่วยพวกเขาเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต แต่ยังทำให้พวกเขาพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเข้มแข็งทางอารมณ์และพร้อมจะเผชิญกับความท้าทายที่มาในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
 

การปล่อยให้ล้ม แต่ไม่ได้ถึงขั้นปล่อยให้เจ็บ

การสร้างความสมดุลระหว่างการให้ลูกเผชิญกับความล้มเหลว แต่ไม่ให้เกิดความเสียหายที่ยากจะฟื้นฟูเป็นสิ่งสำคัญ พ่อแม่สามารถคอยให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ หรือสนับสนุนโดยไม่ขัดขวางการเรียนรู้ของลูก เช่น ในกรณีที่ลูกทำการบ้านไม่ได้ผล ควรปล่อยให้ลูกมีโอกาสลองผิดลองถูก แต่ก็ต้องคอยแนะนำในส่วนที่ลูกอาจยังไม่เข้าใจ

ตัวอย่างสถานการณ์ที่ควรปล่อยให้ล้ม

  • การทำการบ้าน: การให้ลูกทำการบ้านเองและเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ช่วยให้พวกเขาได้ฝึกฝนการคิดและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง การคอยช่วยเหลือในจุดที่ลูกไม่เข้าใจแต่ไม่แก้ปัญหาหมด จะช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ 
  • การเล่นกีฬา: การปล่อยให้ลูกล้มในสนามกีฬาเป็นโอกาสที่จะสอนพวกเขาถึงการเรียนรู้จากความผิดพลาดและการฝึกฝนให้ดีกว่าเดิม เมื่อพวกเขาได้ล้มเหลว พวกเขาจะเรียนรู้ว่า ความพยายามและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องทำให้พวกเขาพัฒนาขึ้น
  • การมีความสัมพันธ์กับเพื่อน: การให้ลูกมีโอกาสเผชิญกับความท้าทายจากการไม่เข้าใจกันกับเพื่อน หรือมีเรื่องกระทบการทั่งกันบ้าง จะทำให้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์และวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน

การให้ลูกได้เผชิญหน้ากับความล้มเหลวในชีวิตประจำวันและมีโอกาสเรียนรู้จากประสบการณ์นั้นสำคัญกว่าการปกป้องพวกเขาจากทุกอย่างในมุมพ่อแม่เพียงด้านเดียว
 

เทคนิคสอนลูกให้รู้จักผิดหวังโดยที่ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

การสอนให้ลูกรู้จักผิดหวังเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้พวกเขามี ภูมิคุ้มกันชีวิตที่แข็งแกร่ง การเรียนรู้ที่จะจัดการกับความผิดหวังในเชิงบวกไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกมีความยืดหยุ่นทางอารมณ์ แต่ยังช่วยให้พวกเขาพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางด้านอารมณ์และสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
 

1. การฟังอย่างตั้งใจ

การฟังอย่างตั้งใจเป็นการให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูกเมื่อพวกเขาผิดหวัง พ่อแม่ควรให้เวลาลูกพูดถึงความรู้สึกของตัวเองโดยไม่ขัดจังหวะหรือรีบร้อนให้คำตอบ การฟังอย่างใส่ใจช่วยให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขาได้รับการยอมรับและเข้าใจ
 

2. สะท้อนให้เห็นว่าความผิดหวังคือเรื่องธรรมดา

เมื่อลูกผิดหวัง พ่อแม่ควรสะท้อนให้เห็นว่าความผิดหวังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และทุกคนต้องเผชิญกับมัน การให้ลูกเห็นว่าไม่ต้องกลัวความผิดหวังจะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าไม่เป็นปัญหาและสามารถกลับมาลุกขึ้นได้
 

3. ย้ำคุณค่าของความพยายาม

การให้ลูกเห็นว่าความพยายามสำคัญกว่าผลลัพธ์จะช่วยให้พวกเขามองความผิดหวังในแง่บวก ลูกจะเข้าใจว่าแม้จะไม่สำเร็จในครั้งแรก การพยายามต่อไปและไม่หยุดที่จะพยายาม เป็นส่วนหนึ่งของ การเรียนรู้จากความล้มเหลวยังทีมีส่วนช่วยให้พวกเขาเติบโตขึ้น
 

การสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตให้ลูก

การสร้าง ภูมิคุ้มกันชีวิต ให้ลูกไม่ได้หมายถึงแค่การเตรียมพร้อมให้พวกเขาสามารถเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากในชีวิตได้ แต่ยังรวมถึงการฝึกฝนทักษะทางด้านอารมณ์ที่จะทำให้พวกเขามีความสามารถในการรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้

1. สร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง

การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองของลูกช่วยให้พวกเขามั่นใจในการตัดสินใจและการเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต เมื่อพวกเขามีความเชื่อมั่นในตัวเอง พวกเขาจะไม่ยอมแพ้เมื่อต้องเผชิญกับความยากลำบาก

2. ฝึกคิดเชิงบวก (Growth Mindset)

การปลูกฝัง Growth Mindset ให้ลูกทำให้พวกเขาเห็นความผิดหวังเป็นโอกาสในการพัฒนาและเรียนรู้ สิ่งนี้จะทำให้พวกเขามีทัศนคติที่ดีต่อความพยายามและการเผชิญกับความยากลำบาก พร้อมที่จะเรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ต่าง ๆ
 

3. มีความสัมพันธ์ที่เปิดใจ

การสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดใจระหว่างพ่อแม่กับลูกช่วยให้ลูกไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อเผชิญกับความผิดหวัง พ่อแม่ควรเป็นที่พึ่งพิงที่ลูกสามารถพูดคุยและเปิดเผยความรู้สึกได้อย่างอิสระ เพื่อช่วยให้พวกเขามีกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิต

การเลี้ยงลูกให้รู้จักผิดหวังไม่ใช่เรื่องที่ง่าย แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ลูกพัฒนาเป็นคนที่มี ภูมิคุ้มกันชีวิต ที่แข็งแกร่ง การสอนลูกให้จัดการกับความผิดหวังจะช่วยให้พวกเขามีความยืดหยุ่นทางอารมณ์และสามารถเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปลูกฝัง Growth Mindset และการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองจะทำให้ลูกมีความมั่นใจและไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับอุปสรรคมากไปกว่านั้น

การสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดใจและการให้การสนับสนุนทางอารมณ์จากพ่อแม่จะทำให้ลูกไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเมื่อเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ในชีวิต ด้วยการเรียนรู้ที่จะจัดการกับความผิดหวัง ลูกจะเติบโตเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางอารมณ์และพร้อมที่จะเผชิญกับอนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างมั่นใจ 
 
ขอบคุณที่มา  
- Netpama 
- Bookscape  
- Dgsmartmom  
- Starfishlabz  
- Thaipbkids  
- Happychild
 

บทความ

อยากซื้อประกันสุขภาพเริ่มต้นอย่างไรดี เลือกแบบประกันอย่างไรให้ตอบโจทย์

ในปัจจุบันที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมี ประกันสุขภาพ กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดภาระทางการเงิน

8 วิธี สอนลูกออมเงินอย่างสนุก ปลุกจิตสำนึกรักการออม

วัยเด็กเป็นวัยเรียนรู้ ครอบครัวควรเริ่มสอนการเก็บออมตั้งแต่วัยนี้เพื่อที่เมื่อโตขึ้นเขาจะได้มีนิสัยและวินัยที่ดีในการใช้จ่าย เห็นได้ชัดว่าวัยเด็กเป็นวัยแห่งเรียนรู้ ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่

เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

คุณพ่อคุณแม่ต่างก็คงอยากเห็นลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างสมวัยและสมบูรณ์แข็งแรง แต่ด้วยสภาพแวดล้อม และวิถีชีวิตในปัจจุบันทำให้เสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายมากขึ้น

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ