5 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าร้อนที่พ่อแม่ควรระวัง
เด็ก Gen Alpha หรือเด็กที่เกิดระหว่างปี 2010 ถึง 2024 เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และการศึกษา ล้วนแต่มีผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา สิ่งที่พ่อแม่ต้องตระหนักในวันนี้คือการเตรียมตัวเพื่อสร้าง ภูมิคุ้มกันทางใจ ให้กับลูกๆ เพื่อให้พวกเขาสามารถรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่กำลังรออยู่ในอนาคต
ลักษณะที่เด่นของเด็ก Gen Alpha คือ การเติบโตในโลกที่เชื่อมต่อกัน ทุกที่ทุกเวลา ผ่านการใช้เทคโนโลยีและสื่อออนไลน์ พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลและโอกาสการเรียนรู้ใหม่ๆ ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีทักษะดิจิทัลที่ดี แต่ก็มีผลกระทบในแง่ของการบริหารจัดการข้อมูลและความกดดันจากโลกออนไลน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ในโลกเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เด็ก ๆ ต้องรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงในสังคม ที่เกิดจากปัญหาต่างๆ เช่น ภาวะโลกร้อน และ โรคระบาด ที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม รวมถึงวิธีการทำงาน การศึกษาของเด็ก Gen Alpha จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน แต่ยังต้องเรียนรู้การปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
เด็ก Gen Alpha เติบโตในยุคที่เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และโลกที่พวกเขาเติบโตขึ้นเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม แต่ยังมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการศึกษาอีกด้วย การศึกษาในปัจจุบัน่ไม่หยุดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป แต่กำลังเดินหน้าไปพร้อมกับ เทคโนโลยีดิจิทัล ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เด็ก Gen Alpha จึงไม่ได้เรียนรู้แค่ในห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังมีการเรียนรู้ผ่าน แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้การศึกษาและโอกาสในการเรียนรู้แบบไม่จำกัดเวลาและสถานที่
การเติบโตในโลกที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เด็ก Gen Alpha ต้องพร้อมที่จะ ปรับตัว อยู่เสมอ พวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้เทคโนโลยีในการศึกษาและสื่อสาร แต่ยังต้องเตรียมตัวกับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่แค่การรับมือกับการเปลี่ยนแปลง แต่คือการเรียนรู้ที่จะ เติบโตไปพร้อมกับมัน การเรียนรู้ในยุคนี้จึงไม่เพียงแค่เรื่องของการศึกษาด้านวิชาการ แต่ยังต้องเน้นที่การพัฒนาทักษะ การปรับตัว การใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และการมีทักษะในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกที่ไม่หยุดนิ่ง
ในปัจจุบันเด็กหลายคนเริ่มรู้สึกวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคต เนื่องจากโลกที่พวกเขาเติบโตขึ้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การได้ยินข่าวสารและการเห็นสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านสื่อและโซเชียลมีเดียทำให้เด็กๆ เริ่มรู้สึก ไม่มั่นคง และวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงในโลกการงาน หรือการเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด เป็นต้น
โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและ งานที่ไม่แน่นอน พวกเขาเริ่มรู้สึกกลัวที่จะเผชิญกับอนาคตที่ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งที่พวกเขายังไม่ทันได้ลงมือทำอะไรเลย ความวิตกกังวลนี้อาจส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเองของเด็กๆ ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวที่จะตัดสินใจหรือเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
การรู้สึกกลัวและกังวลเกี่ยวกับอนาคตไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องเข้าใจและช่วยให้ลูกเรียนรู้วิธีจัดการกับความวิตกกังวลเหล่านี้ โดยไม่ให้มันมาขัดขวางการเติบโตและการพัฒนาของพวกเขา
การอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจหรือการเมือง เป็นสิ่งสำคัญในการเตรียมตัวให้เด็กๆ รับมือกับความไม่แน่นอน การสอนให้ลูกปรับตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าไม่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามที่คาดหวังเสมอ และไม่เป็นปัญหาหากต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในชีวิต
การสอนทักษะการสงบสติอารมณ์ เช่น การทำสมาธิ หรือการฝึกการหายใจลึกๆ จะช่วยให้เด็กๆ รับมือกับความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เทคนิคเหล่านี้สามารถช่วยเด็กพัฒนาความสามารถในการเผชิญกับความท้าทายและอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความเครียดในชีวิตประจำวัน ในการเสริมสร้างความสามารถในการจัดการความเครียด พ่อแม่สามารถใช้ 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก เพื่อพัฒนาภูมิคุ้มกันทางใจและช่วยให้ลูกสามารถปรับตัวกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การ ส่งเสริมความมั่นใจในตัวเองให้เด็ก เป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่สามารถทำได้โดยการให้คำชมและกำลังใจในทุกความพยายามที่ลูกทำ แม้ว่าอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรก การสนับสนุนจากพ่อแม่จะช่วยให้เด็กๆ เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง และพร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ อย่างมั่นใจ
การสร้างความอบอุ่นในครอบครัว เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเด็ก ให้เด็กๆ รู้สึกมั่นคงและปลอดภัยเมื่อกลับบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างจิตใจที่เข้มแข็ง การสนับสนุนจากครอบครัวจะช่วยให้เด็กเติบโตขึ้นมาอย่างมีความมั่นคงทางอารมณ์
ความยืดหยุ่นทางจิตใจ (Resilience) คือ ความสามารถในการฟื้นตัวจากความยากลำบากหรือการเผชิญกับปัญหา โดยไม่ยอมแพ้หรือท้อถอย การสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจให้กับเด็กๆ ช่วยให้พวกเขามีความสามารถในการปรับตัวและเรียนรู้จากความล้มเหลว
การตั้งเป้าหมายเล็กๆ ที่สามารถทำได้: ช่วยให้เด็กมีกำลังใจในการทำสิ่งที่ท้าทาย และเรียนรู้ว่าความพยายามสามารถนำมาซึ่งความสำเร็จ
การมองปัญหาเป็นโอกาส: ส่งเสริมให้เด็กมองความล้มเหลวเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโต ไม่ใช่เป็นอุปสรรคที่จะหยุดพวกเขา
พ่อแม่ควรช่วยให้เด็กเห็นคุณค่าของความพยายาม และให้กำลังใจเมื่อลูกเผชิญกับความท้าทาย เพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองและช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นทางจิตใจ
พ่อแม่ควรเลิกเป็นผู้ปกป้องและเปลี่ยนบทบาทเป็นโค้ชที่ดีในการช่วยลูกพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหา การคิดเชิงวิพากษ์ และการเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นต้น การให้ลูกมีความรับผิดชอบต่อตัวเองและการตัดสินใจของตัวเองจะช่วยเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นในการรับมือกับโลกภายนอก
การช่วยลูกจัดการกับอารมณ์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการควบคุมอารมณ์ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือเมื่อเผชิญกับความรู้สึกที่ยากลำบาก การฝึกทักษะการจัดการอารมณ์จะช่วยให้เด็กสามารถแสดงออกถึงอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม และไม่ปล่อยให้อารมณ์มาควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้
การเรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ของตัวเอง เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ การสอนให้เด็กสามารถแยกแยะว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร เช่น โกรธ, เครียด, ดีใจ หรือเสียใจ จะช่วยให้เด็กมีความเข้าใจในตัวเองมากขึ้นได้
การใช้ภาพประกอบ: ใช้การ์ดหรือแผ่นภาพที่มีหน้าตาหรืออารมณ์ต่างๆ ให้ลูกช่วยระบุว่าเขากำลังรู้สึกอะไรในแต่ละช่วงเวลา
การตั้งคำถาม: ถามลูกอย่างใจเย็นว่า “วันนี้รู้สึกยังไงบ้าง?” หรือ “มีอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดีหรือไม่?” ช่วยให้ลูกแชร์ความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนั้นออกมาได้
การให้ลูกมีโอกาสได้พูดถึงอารมณ์ของตนเองจะช่วยให้พวกเขารู้จักและยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้น
การฝึกให้เด็กสามารถควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงหรือไม่พึงประสงค์เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขามีวิธีจัดการอารมณ์ที่ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน เทคนิคที่พ่อแม่สามารถใช้ได้มีดังนี้:
การหายใจลึกๆ: เมื่อเด็กเริ่มรู้สึกโกรธหรือเครียด การฝึกให้ลูกหายใจลึกๆ ช่วยทำให้พวกเขาสงบลงได้ ตัวอย่างเช่น การสอนลูกให้หายใจเข้าลึกๆ นับ 1-2-3 แล้วหายใจออกช้าๆ 1-2-3 การทำเช่นนี้จะช่วยให้สมองรับออกซิเจนได้มากขึ้นและช่วยลดความเครียด
การนับเลข: ในขณะที่ลูกรู้สึกโกรธ การนับเลขจาก 1 ถึง 10 อย่างช้าๆ จะช่วยให้ลูกสามารถหยุดคิดและสงบสติอารมณ์ได้
การใช้พื้นที่ส่วนตัว: สอนให้ลูกรู้จักพื้นที่ส่วนตัว หรือการหามุมสงบในบ้านเพื่อพักผ่อนและคลายความรู้สึกเมื่ออารมณ์เริ่มไม่ดี
การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางอารมณ์ จะช่วยให้เด็กกล้าแสดงออกถึงอารมณ์ของตนได้อย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ต้องกลัวการถูกตัดสิน
เปิดโอกาสให้เด็กแสดงอารมณ์: สอนให้ลูกรู้ว่ามีสิทธิ์ที่จะรู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก และสามารถพูดถึงอารมณ์ของตนได้
ยอมรับอารมณ์ทุกประเภท: ทั้งอารมณ์ที่ดีและไม่ดีควรได้รับการยอมรับ การบอกลูกว่า “มันไม่เป็นไรที่จะรู้สึกโกรธหรือเศร้า” จะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองเป็นเรื่องปกติ
ไม่ลงโทษเมื่อเด็กแสดงอารมณ์: ควรหลีกเลี่ยงการลงโทษลูกเมื่อพวกเขาแสดงอารมณ์เชิงลบ เช่น การโกรธหรือร้องไห้ การสนับสนุนให้เด็กมีพื้นที่ในการแสดงออกจะช่วยพัฒนาความเข้าใจในอารมณ์ของตนเอง
การเข้าใจอารมณ์ของตัวเองและการสอนทักษะการควบคุมอารมณ์ จะช่วยให้เด็กๆ สามารถจัดการกับอารมณ์ในสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ เทคนิคต่างๆ เช่น การฝึกหายใจลึกๆ หรือการตั้งสติในช่วงที่รู้สึกเครียดหรือโกรธสามารถช่วยได้
การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยทางอารมณ์จะช่วยให้เด็กแสดงออกถึงอารมณ์ของตนได้อย่างตรงไปตรงมาและไม่ต้องกลัวการถูกตัดสิน
การสร้างภูมิคุ้มกันทางใจ ให้กับเด็ก Gen Alpha เป็นสิ่งจำเป็นในโลกที่ไม่แน่นอน การเตรียมตัวให้ลูกสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างมั่นคงในโลกที่ท้าทายนี้จะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะเผชิญกับอนาคต
ขอบคุณที่มา
- Okmd
- TH.Hrnote
- Thaipbskids
- The101.World
- Abcthebaby
5 โรคฮิตของเด็กในช่วงหน้าร้อนที่พ่อแม่ควรระวัง
8 วิธี สอนลูกออมเงินอย่างสนุก ปลุกจิตสำนึกรักการออม
เริ่มต้นอย่างไร? 4 ขั้นตอนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง
ติดต่อเรา
ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ปกป้อง ดูแลคุณ
หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ