เข้าใจโรคเลือดจาง สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

เข้าใจโรคเลือดจาง สาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

01/2025
โรคเลือดจาง รักษาหายไหม


เคยสงสัยไหมว่าทำไมบางวันถึงรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ เดินขึ้นบันไดไม่กี่ขั้นก็หอบ หัวใจเต้นแรง หน้ามืดวูบวาบ แม้จะนอนพักเต็มที่แล้วก็ตาม อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของ "โรคเลือดจาง" ภาวะที่ร่างกายขาดเม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา บทความนี้จะพาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเลือดจางอย่างลึกซึ้ง ทั้งสาเหตุที่แท้จริง อาการที่ต้องเฝ้าระวัง และแนวทางการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้องก่อนที่อาการจะรุนแรงเกินไป
 

ภาวะโลหิตจางคืออะไร?

ภาวะโลหิตจางไม่ใช่แค่อาการ "เลือดจาง" ธรรมดาที่หลายคนเข้าใจ แต่เป็นภาวะที่เกิดจากการมีเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบินต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้เลือดไม่สามารถนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ภาวะโลหิตจางเปรียบเสมือน "ระบบขนส่งออกซิเจน" ในร่างกายที่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เม็ดเลือดแดงที่มีหน้าที่เป็นพาหนะขนส่งออกซิเจนมีจำนวนน้อยเกินไป หรือทำงานได้ไม่ดีพอ ทำให้เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอต่อการทำงาน
 

ภาวะโลหิตจางเกิดจากอะไร?

ภาวะโลหิตจางไม่ได้มีสาเหตุเพียงการขาดธาตุเหล็กเท่านั้น! แต่เกิดได้จาก 3 สาเหตุสำคัญที่ส่งผลต่อเม็ดเลือดแดงในร่างกาย ทำความเข้าใจสาเหตุให้ถ่องแท้จะช่วยให้การรักษาตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 

1. ร่างกายการสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง

ร่างกายอาจสร้างเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ สาเหตุสำคัญมักมาจากการขาดสารอาหารที่จำเป็น โดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และกรดโฟลิค ซึ่งพบบ่อยในหญิงตั้งครรภ์ หรืออาจเกิดจากการมีโรคเรื้อรังแฝงอยู่ เช่น โรคตับ โรคไต หรือมะเร็ง รวมถึงความผิดปกติของไขกระดูกที่เป็นโรงงานผลิตเม็ดเลือดของร่างกาย ซึ่งอาจเสื่อมหรือถูกทำลายจากโรคบางชนิด

2. การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้นในร่างกาย

ภาวะเม็ดเลือดแดงถูกทำลายในร่างกาย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของโลหิตจาง ปัญหานี้มักมาพร้อมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือที่เรียกว่า "ภาวะดีซ่าน" ซึ่งอาจเกิดจากหลายโรคที่ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นโรคธาลัสซีเมีย โรคเลือดที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม ภาวะขาดเอนไซม์ G-6PD หรือแม้แต่การติดเชื้อบางชนิด เช่น มาลาเรีย ที่เข้ามาทำลายเม็ดเลือดแดงโดยตรง รวมถึงกรณีที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาทำร้ายเม็ดเลือดแดงของตัวเองโดยไม่จำเป็น
 

3. การสูญเสียเลือดอย่างฉับพลัน

สาเหตุที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือการเสียเลือด ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบฉับพลันจากอุบัติเหตุหรือการตกเลือด หรือค่อยๆ เสียเลือดอย่างเรื้อรัง เช่น การเสียเลือดประจำเดือนมากในผู้หญิง หรือการเสียเลือดในระบบทางเดินอาหาร ที่สำคัญคือการเสียเลือดเรื้อรังมักนำไปสู่การขาดธาตุเหล็ก ซึ่งจะยิ่งทำให้ภาวะโลหิตจางรุนแรงขึ้น

การเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของภาวะโลหิตจางจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการวางแผนการรักษา เพราะแต่ละสาเหตุต้องการการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน การพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่สงสัยว่าอาจมีภาวะโลหิตจาง
 

ภาวะโลหิตจางแสดงอาการอย่างไร?

หลายคนอาจกำลังมีภาวะโลหิตจางโดยไม่รู้ตัว เพราะในระยะแรกอาการอาจไม่ชัดเจนหรือคล้ายกับความเหนื่อยล้าทั่วไป แต่เมื่อสังเกตอย่างละเอียด จะพบว่าร่างกายกำลังส่งสัญญาณเตือนหลายอย่างที่ไม่ควรมองข้าม
 

1. อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย

อาการที่พบบ่อยที่สุดคือความอ่อนเพลียผิดปกติ แม้จะนอนพักผ่อนเพียงพอแล้วก็ตาม ร่างกายจะรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้ทำกิจกรรมเบาๆ เช่น เดินขึ้นบันได หรือทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจรู้สึกเหนื่อยจนต้องหยุดพัก การอ่อนเพลียนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
 

2. อาการที่สังเกตได้จากตามร่างกาย

สัญญาณที่สังเกตได้ชัดเจนจากภายนอกคือความซีด โดยจะเห็นได้จากผิวหนังที่ซีดลงกว่าปกติ เยื่อบุตาด้านในมีสีซีดจาง ริมฝีปากและเล็บมีสีซีดกว่าปกติ ในรายที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจพบการเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บเปราะบางหรือมีลักษณะเว้าตรงกลางคล้ายช้อน นอกจากนี้ อาจสังเกตเห็นผิวหนังแห้งกว่าปกติ หรือมีผมร่วงมากขึ้น
 

3. อาการทางระบบหายใจและหัวใจ

เมื่อร่างกายพยายามชดเชยภาวะขาดออกซิเจน จะทำให้เกิดอาการที่เกี่ยวกับระบบหายใจและหัวใจ ผู้ป่วยจะรู้สึกหายใจเร็วและหอบเหนื่อยง่าย มีอาการใจสั่นหรือรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอกเมื่อออกแรง และวิงเวียนศีรษะโดยเฉพาะเมื่อลุกขึ้นยืนเร็วๆ
 

4. อาการทางระบบประสาท

ภาวะโลหิตจางส่งผลกระทบต่อสมองและระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมึนงง สมาธิสั้น ปวดศีรษะบ่อย นอนไม่หลับหรือนอนหลับไม่สนิท และมักมีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย การขาดออกซิเจนที่สมองอาจส่งผลต่อความสามารถในการจดจำและการมีสมาธิ
 

5. อาการทางระบบทางเดินอาหาร

ผู้ป่วยอาจพบอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร ลิ้นอักเสบ กลืนลำบาก หรือมีอาการท้องอืดแน่นท้อง อาการเหล่านี้อาจเกิดจากการที่เนื้อเยื่อในระบบทางเดินอาหารได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
 

6. อาการเฉพาะในบางกรณี

ในบางกรณี อาจพบอาการเฉพาะที่บ่งบอกถึงสาเหตุของภาวะโลหิตจาง เช่น ในกรณีที่มีการแตกของเม็ดเลือดแดง ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือปัสสาวะมีสีเข้มผิดปกติ
 

สัญญาณอันตรายที่ควรพบแพทย์ทันที

สัญญาณของภาวะโลหิตจางที่ควรรีบพบแพทย์ทันทีเมื่อสังเกตพบอาการดังต่อไปนี้

  • อ่อนเพลียมากจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

  • มีอาการหน้ามืดหรือเป็นลมบ่อยๆ

  • หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยแม้ขณะพัก

  • มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง

  • มีไข้ร่วมกับอาการซีด

การตระหนักถึงอาการเตือนเหล่านี้และรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเมื่อสงสัยว่ามีภาวะโลหิตจางเป็นสิ่งสำคัญ การสังเกตและจดบันทึกอาการที่พบจะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุได้แม่นยำขึ้น นำไปสู่การรักษาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ไม่ควรละเลยอาการเหล่านี้เพราะการรักษาแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว
 

การรักษาภาวะโลหิตจาง

การรักษาภาวะโลหิตจางต้องเริ่มจากการวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะวิธีการรักษาจะแตกต่างกันไปตามสาเหตุและความรุนแรงของโรค แพทย์ด้านโลหิตวิทยาจะเป็นผู้พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
 

1. การรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดสารอาหาร

ในกรณีที่เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก แพทย์จะให้ธาตุเหล็กเสริมเพื่อเพิ่มระดับฮีโมโกลบินในเลือด สำหรับผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก จะได้รับวิตามินเหล่านี้เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และในกรณีที่พบการเสียเลือดเรื้อรัง แพทย์จะต้องค้นหาและรักษาสาเหตุของการเสียเลือดร่วมด้วย
 

2. การรักษาภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเฉียบพลัน

กรณีเสียเลือดมากอย่างฉับพลันจากอุบัติเหตุหรือการตกเลือด จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน แพทย์จะพิจารณาให้เลือดทดแทนและผ่าตัดเพื่อห้ามเลือดหากจำเป็น พร้อมทั้งแก้ไขภาวะช็อกที่อาจเกิดขึ้นจากการเสียเลือด
 

3. การรักษาภาวะโลหิตจางจากโรคเรื้อรัง

ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง แพทย์จะให้ฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน (Erythropoietin) เพื่อกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ร่วมกับการรักษาโรคไตที่เป็นสาเหตุ สำหรับโรคเรื้อรังอื่นๆ การรักษาจะมุ่งเน้นที่การควบคุมโรคหลักควบคู่ไปกับการแก้ไขภาวะโลหิตจาง
 

4. การรักษาภาวะโลหิตจางจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน

ในกรณีที่ร่างกายมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ (Hemolytic anemia) แพทย์จะให้ยากดภูมิคุ้มกันเพื่อลดการทำลายเม็ดเลือดแดง และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
 

5. การรักษาภาวะโลหิตจางจากโรคทางพันธุกรรม

การรักษาภาวะโลหิตจางที่มีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมียและโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว แนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ในผู้ป่วยโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว แพทย์จะให้การรักษาด้วยการให้ออกซิเจนและสารน้ำทางหลอดเลือดดำ เพื่อบรรเทาอาการปวดและป้องกันภาวะแทรกซ้อน ร่วมกับการให้กรดโฟลิกและยาปฏิชีวนะตามความจำเป็น

สำหรับโรคธาลัสซีเมีย ผู้ที่เป็นพาหะมักไม่จำเป็นต้องรับการรักษา แต่ผู้ที่มีอาการของโรคจะได้รับการรักษาตามความรุนแรง ตั้งแต่การให้เลือด การให้ยาขับธาตุเหล็ก ไปจนถึงการผ่าตัดม้ามในบางราย
 

6. การรักษาภาวะโลหิตจางด้วยออกซิเจนความดันสูงบำบัด

Hyperbaric Oxygen Therapy หรือการรักษาด้วยออกซิเจนความดันสูง เป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาภาวะโลหิตจางทุกประเภท โดยวิธีการนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด ช่วยบรรเทาหรือกำจัดอาการต่างๆ ได้ ออกซิเจนที่เพิ่มขึ้นยังช่วยฟื้นฟูและปกป้องเนื้อเยื่อที่ขาดออกซิเจน การรักษาวิธีนี้สามารถใช้ได้ทั้งในผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง 

สำหรับความปลอดภัยของการรักษา Hyperbaric Oxygen Therapy ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้ใช้ในการรักษาภาวะโลหิตจางได้ แม้ว่าผลการรักษาอาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย 

อ้างอิง : Anemia and HBOT: Things To Know
 

อาหารสำหรับผู้มีภาวะโลหิตจาง

สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะโลหิตจาง การเลือกอาหารให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก นอกจากการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงแล้ว การหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดก็ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น และช่วยบรรเทาอาการของโรคได้ด้วย
 

1. อาหารที่ช่วยบรรเทาอาการโลหิตจาง

การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง ตับ และผักใบเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม และผักบุ้ง การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูงร่วมด้วย เช่น ส้ม มะละกอ หรือสตรอว์เบอร์รี จะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น

2. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือลดปริมาณการบริโภค ได้แก่ อาหารที่มีสารที่ไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก เช่น กาแฟ ชา นมวัว ถั่วบางชนิด และอาหารแปรรูปต่างๆ รวมถึงอาหารที่มีกรดไฟติก เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และอาหารที่มีสารแทนนิน เช่น องุ่น ฝรั่ง การหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้น และช่วยให้ระดับฮีโมโกลบินกลับสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้น

การป้องกันภาวะโลหิตจาง

การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน

  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

  • เน้นอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

  • ตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ

  • ตรวจเลือดเพื่อประเมินระดับฮีโมโกลบิน

  • เฝ้าระวังการทำงานของเม็ดเลือดแดง

กลุ่มเสี่ยงที่ควรดูแลเป็นพิเศษ

  • หญิงวัยเจริญพันธุ์

  • หญิงตั้งครรภ์

  • ผู้สูงอายุ

คำแนะนำสำหรับกลุ่มเสี่ยง

  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับวิตามินเสริม

  • ตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ

  • เริ่มการรักษาทันทีหากพบความผิดปกติ


โรคเลือดจางแม้จะดูเหมือนเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง แต่หากละเลยหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ การเข้าใจสาเหตุและสังเกตอาการผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตแล้ว การตรวจสุขภาพประจำปีก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยคัดกรองและป้องกันภาวะเลือดจางได้

ในวันที่ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมหรือต้องรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น หากพบว่าภาวะเลือดจางเป็นผลมาจากโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งเม็ดเลือด หรือไขกระดูกฝ่อ การมีประกันโรคร้ายแรงจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่อาจสูงถึงหลักล้านบาท

การลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ทั้งการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ และการมีประกันที่ให้ความคุ้มครองเพียงพอ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดเมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
 

​​ขอบคุณข้อมูลจาก​

  • ภาวะโลหิตจาง อย่าวางใจ - โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์

บทความ

รู้ค่ารักษามะเร็งก่อนรักษา ป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
 

ถามว่า "ค่ารักษามะเร็งแพงแค่ไหน?" คำตอบที่สะท้อนความจริงคือ "แพงกว่าที่คิด และสูงขึ้นทุกปี" จากข้อมูลล่าสุดพบว่า ค่ารักษามะเร็งในประเทศไทยเริ่มต้นที่หลักแสนและอาจพุ่งสูงถึงหลายล้านบาทต่อราย

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย สัญญาณเตือนอะไร? เข้าใจสาเหตุและวิธีรับมือ

อาการปวดท้องน้อยด้านซ้ายอาจไม่ใช่แค่อาการท้องอืดธรรมดา หลายครั้งกลับเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ ตั้งแต่ภาวะลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

Ice Bath แช่น้ำแข็ง ผ่อนคลายร่างกาย สร้างสุขภาพที่แข็งแรง
 

เคยสงสัยไหมว่าทำไมนักกีฬาระดับโลกและเหล่าคนดังถึงนิยมแช่น้ำแข็งหลังการออกกำลังกาย? Ice Bath หรือการแช่น้ำเย็นจัดกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรักสุขภาพ ไม่เพียงแค่ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ