อาการโรคตับเริ่มแรก สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

อาการโรคตับเริ่มแรก สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

02/2025
อาการโรคตับ เริ่มแรก



ตับ เป็นอวัยวะที่ทำงานไม่หยุดพัก 24 ชั่วโมง แต่มักถูกลืมจนวินาทีสุดท้าย! น่าตกใจที่อวัยวะสำคัญนี้อาจกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือโดยไม่มีใครรู้ตัว อาการเตือนที่ดูเหมือนเรื่องเล็กน้อยอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความรู้และการเตรียมพร้อมคือกุญแจสู่สุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว!

ชับบ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต ขอพามาทำความรู้จักกับสัญญาณเตือนภัยจากตับที่อาจถูกละเลย พร้อมเรียนรู้วิธีปกป้องและดูแลอวัยวะสำคัญนี้ก่อนสายเกินแก้ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
 

โรคตับคืออะไร

โรคตับเป็นคำที่ใช้เรียกภาวะผิดปกติของตับ ครอบคลุมตั้งแต่การทำงานที่ผิดปกติไปจนถึงความเสียหายของเนื้อเยื่อตับ สาเหตุมีหลากหลาย เช่น การติดเชื้อ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือการสะสมของไขมัน ซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บ การเกิดแผลเป็นถาวร หรือพังผืดในเนื้อตับ เมื่อตับได้รับความเสียหาย การทำงานสำคัญต่าง ๆ จะแย่ลง ทั้งการผลิตโปรตีน การกำจัดสารพิษ และการควบคุมการไหลเวียนของเลือด ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติและอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
 

7 อาการโรคตับที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง

1. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย

อาการอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายเป็นสัญญาณเตือนแรกที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคตับ แม้จะไม่ได้ออกแรงมาก แต่ร่างกายกลับรู้สึกเหนื่อยล้าผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน นี่อาจเป็นสัญญาณว่าตับกำลังทำงานหนักเกินไป เนื่องจากตับมีบทบาทสำคัญในการผลิตพลังงานและกำจัดสารพิษในร่างกาย เมื่อตับทำงานผิดปกติ จึงส่งผลให้ร่างกายขาดพลังงานและเกิดอาการอ่อนเพลีย
 

2. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

ตับมีบทบาทสำคัญในการย่อยอาหารและควบคุมความอยากอาหาร เมื่อตับทำงานผิดปกติ อาจส่งผลให้เกิดอาการเบื่ออาหาร ทานได้น้อยลง และน้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากตับไม่สามารถผลิตน้ำดีได้เพียงพอสำหรับการย่อยอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน นอกจากนี้ ตับยังมีส่วนในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อตับทำงานผิดปกติ อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่คงที่ และส่งผลต่อความอยากอาหาร
 

3. ท้องอืด แน่นท้อง

อาการท้องอืด แน่นท้อง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารมื้อใหญ่ อาจเป็นสัญญาณว่าตับกำลังมีปัญหาในการผลิตน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน เพราะตับมีหน้าที่สำคัญในการผลิตน้ำดี ซึ่งช่วยในการย่อยไขมันและดูดซึมสารอาหารในลำไส้ เมื่อตับทำงานผิดปกติ การผลิตน้ำดีอาจลดลงหรือมีคุณภาพไม่ดี ส่งผลให้การย่อยอาหารไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูง ทำให้เกิดอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือรู้สึกอึดอัดหลังรับประทานอาหาร นอกจากนี้ อาการดังกล่าวอาจเกิดจากการที่ตับขยายขนาดหรือมีการอักเสบ กดทับกระเพาะอาหารและลำไส้ ได้ด้วยเช่นกัน

 

4. คันตามผิวหนัง

หลายคนอาจไม่ทราบว่าอาการคันตามผิวหนังโดยไม่มีผื่นขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคตับได้ โดยเฉพาะถ้าเป็นการคันที่รุนแรงและเกิดขึ้นบ่อย ๆ อาการนี้เกิดจากการที่ตับไม่สามารถกำจัดสารพิษในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สารเหล่านี้สะสมในร่างกายและกระตุ้นปลายประสาทใต้ผิวหนัง อาการคันมักจะรุนแรงขึ้นในเวลากลางคืนหรือหลังอาบน้ำร้อน
 

5. ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด

อาการปัสสาวะสีเข้มและอุจจาระสีซีดเป็นสัญญาณที่สำคัญที่บ่งบอกถึงปัญหาของตับ โดยเฉพาะภาวะดีซ่าน (Jaundice) ซึ่งเกิดจากการสะสมของบิลิรูบินในร่างกาย บิลิรูบินเป็นสารที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง และปกติแล้วตับจะทำหน้าที่กำจัดสารนี้ออกจากร่างกาย เมื่อเกิดปัญหาตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือมีการอุดตันของท่อน้ำดี จะทำให้บิลิรูบินสะสมในเลือดและถูกขับออกทางปัสสาวะ ทำให้มีสีเข้มคล้ายชา ในขณะที่อุจจาระจะมีสีซีดเนื่องจากขาดบิลิรูบินที่ถูกขับออกทางอุจจาระ หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
 

6. ตาเหลือง ตัวเหลือง

อาการตาเหลือง ตัวเหลือง หรือภาวะดีซ่าน เป็นสัญญาณเตือนว่าตับกำลังมีปัญหา ภาวะนี้เกิดจากการที่ตับไม่สามารถกำจัดบิลิรูบิน (Bilirubin) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บิลิรูบินเป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงเก่า โดยปกติตับจะทำหน้าที่กำจัดบิลิรูบินออกจากร่างกาย แต่เมื่อตับทำงานผิดปกติ บิลิรูบินจะสะสมในเลือดและเนื้อเยื่อ ทำให้ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง
 

7. ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา

อาการปวดหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือการขยายตัวของตับ เช่น ในกรณีของโรคตับอักเสบหรือตับแข็ง นอกจากนี้ อาการปวดนี้ยังอาจเกิดจากการมีนิ่วในถุงน้ำดีหรือการอุดตันในท่อน้ำดี การรู้สึกไม่สบายในบริเวณนี้สามารถเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญว่าตับกำลังมีปัญหา ดังนั้น หากมีอาการปวดท้องบริเวณนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม
 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคตับ

นอกจากการสังเกตอาการแล้ว การรู้ถึงปัจจัยเสี่ยงก็สำคัญไม่แพ้กัน ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับ ได้แก่

1. การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แอลกอฮอล์เป็นสารพิษที่ทำลายเซลล์ตับโดยตรง การดื่มหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ตับอักเสบเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังเป็นสาเหตุของไขมันพอกตับอีกด้วย

2. โรคอ้วนและภาวะไขมันพอกตับ ไขมันส่วนเกินในร่างกายจะถูกส่งไปสะสมที่ตับ ทำให้เกิดภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งหากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจนำไปสู่โรคตับอักเสบเรื้อรังและตับแข็งได้ นอกจากนี้ ความดื้อต่ออินซูลินซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคอ้วน หรือผู้มีภาวะน้ำหนักเกิน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดไขมันพอกตับได้ง่ายขึ้น

3. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ไวรัสตับอักเสบทั้งสองชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคตับอักเสบเรื้อรัง ไวรัสจะเข้าไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้

4. การใช้ยาบางชนิดเป็นเวลานาน ยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมันในเลือด ยาปฏิชีวนะบางชนิด หรือยาแก้ปวดชนิดพาราเซตามอล หากใช้ในปริมาณมากหรือเป็นเวลานาน อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ และการใช้ยาหลายชนิดพร้อมกันอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา ทำให้ตับถูกทำลายได้

5. โรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานมักมีความดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของตับและทำให้เกิด   ไขมันพอกตับ ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นเรื้อรังจะไปทำลายหลอดเลือดที่เลี้ยงตับ ทำให้ตับได้รับออกซิเจนและสารอาหารไม่เพียงพอ

6. ภาวะภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ในภาวะนี้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะเข้าใจผิดและโจมตีเซลล์ตับของตัวเอง ทำให้เกิดการอักเสบและทำลายเซลล์ตับ
 

การดูแลตับให้แข็งแรง

การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอแนะนำวิธีการดูแลตับให้แข็งแรงดังนี้

1. ลด ละ เลิก การดื่มแอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์เป็นศัตรูตัวร้ายของตับ การลดหรือเลิกดื่มจะช่วยให้ตับแข็งแรงขึ้นอย่างมาก

2. รับประทานอาหารที่ดีต่อตับ เน้นผักผลไม้ อาหารที่มีไฟเบอร์สูง และโปรตีนคุณภาพดี ลดอาหารไขมันสูงและของหวาน

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายช่วยลดไขมันในตับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับ

4. รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไขมันพอกตับ

5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารพิษ ระวังการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวัน และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

6. ตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจเลือดประจำปีจะช่วยคัดกรองปัญหาตับได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

7. ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B ซึ่งสามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

ประเภทของโรคตับที่พบบ่อย

โรคตับมีหลายประเภท แต่ที่พบบ่อยมีดังนี้

  1. ไขมันพอกตับ เกิดจากการสะสมของไขมันในเซลล์ตับ มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ

  2. ตับอักเสบจากไวรัส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบบีและซี

  3. ตับแข็ง เป็นภาวะที่เนื้อตับถูกทำลายและเกิดพังผืดแทนที่ ทำให้ตับสูญเสียการทำงาน

  4. มะเร็งตับ เป็นการเจริญเติบโตผิดปกติของเซลล์ตับ มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับเรื้อรัง

แต่ละโรคมีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างกัน การตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้
 

การตรวจวินิจฉัยโรคตับ

  1. การตรวจเลือดหาค่าการทำงานของตับ เป็นการตรวจพื้นฐานที่สุด วัดระดับเอนไซม์ตับและสารต่างๆ ที่บ่งบอกถึงการทำงานของตับ

  2. การตรวจอัลตราซาวด์ ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสร้างภาพของตับ ช่วยดูขนาด รูปร่าง และพยาธิสภาพของตับ

  3. การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ให้ภาพที่ละเอียดกว่าอัลตราซาวด์ สามารถตรวจหาก้อนเนื้อหรือความผิดปกติขนาดเล็กได้

  4. การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ให้ภาพที่ละเอียดมาก เหมาะสำหรับการตรวจหามะเร็งตับหรือรอยโรคขนาดเล็ก

  5. การตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นการนำชิ้นเนื้อตับมาตรวจใต้กล้องจุลทรรศน์ ใช้ในการวินิจฉัยโรคตับบางชนิดหรือยืนยันผลการตรวจด้วยวิธีอื่น

แพทย์จะเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมตามอาการและความจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย
 

ความแตกต่างของอาการโรคตับในแต่ละช่วงวัย

อาการของโรคตับอาจแตกต่างกันไปตามช่วงวัย

1. อาการในเด็กและวัยรุ่น

อาการโรคตับในเด็กและวัยรุ่นมักมีความชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อาจแสดงอาการ เช่น ท้องโต ตัวเหลือง และการเจริญเติบโตที่ช้า ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียด ในวัยรุ่น อาการอาจไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ยังสามารถพบการเจริญเติบโตที่ผิดปกติและอาการอ่อนเพลียได้ โดยเฉพาะในกรณีที่มีภาวะไขมันพอกตับหรือโรคตับอักเสบที่อาจเกิดจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม

2. อาการในผู้ใหญ่

ในผู้ใหญ่ อาการโรคตับมักไม่แสดงออกอย่างชัดเจนในระยะแรก ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด ซึ่งเป็นอาการทั่วไปที่อาจถูกมองข้ามได้ง่าย การตรวจสอบและวินิจฉัยที่ละเอียดจึงมีความสำคัญในการรักษาโรคตับให้เหมาะสมและป้องกันภาวะแทรกซ้อนในอนาคต 

3. อาการในผู้สูงอายุ

อาการในผู้สูงอายุที่เกี่ยวข้องกับโรคตับมักไม่ชัดเจนและอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของความชรา โดยผู้สูงอายุอาจมีภาวะสับสน หลงลืมง่าย และมีอาการอ่อนเพลียที่ไม่สามารถอธิบายได้ นอกจากนี้ ผู้สูงอายุมักมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอลง ซึ่งทำให้การตรวจสอบและการวินิจฉัยโรคตับในกลุ่มนี้มีความสำคัญ เพื่อให้สามารถรับการรักษาอย่างทันท่วงทีและลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

การสังเกตอาการผิดปกติและพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำจะช่วยในการวินิจฉัยโรคตับได้เร็วขึ้น
 

โภชนาการสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีความสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

อาหารที่ควรรับประทาน

  • ผักและผลไม้สด โดยเฉพาะที่มีวิตามินซีสูง

  • โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน

  • ธัญพืชไม่ขัดสี

  • น้ำสะอาดในปริมาณเพียงพอ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • อาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว

  • อาหารหมักดอง

  • เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

  • อาหารที่มีน้ำตาลสูง

เมนูอาหารแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

  • ข้าวกล้องกับปลาย่างและผักต้ม

  • สลัดผักรวมกับไก่อบ

  • ซุปผักรวมใส่เต้าหู้

การปรึกษานักโภชนาการจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและช่วยในการฟื้นฟูตับ
 

การออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคตับ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตับและลดไขมันในตับได้

ประเภทของการออกกำลังกายที่แนะนำ

  • การเดินเร็ว

  • ว่ายน้ำ

  • ปั่นจักรยาน

  • โยคะหรือไทชิ

ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย

  • เริ่มต้นอย่างช้า ๆ และค่อย ๆ เพิ่มความเข้มข้น

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหักโหมเกินไป

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ

  • หยุดทันทีหากรู้สึกไม่สบาย เวียนศีรษะ หรือหายใจลำบาก


ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมการออกกำลังกายใด ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

การสังเกตอาการโรคตับตั้งแต่ระยะเริ่มแรกเป็นกุญแจสำคัญสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพ อย่าละเลยสัญญาณเตือนเหล่านี้ และหมั่นดูแลสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ นอกเหนือจากการใส่ใจสุขภาพแล้ว การมีแผนรองรับด้านสุขภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ชับบ ไลฟ์ เข้าใจความกังวลนี้ดี จึงมีแผนประกันสุขภาพที่ออกแบบมาเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคร้ายแรงต่าง ๆ ให้มั่นใจได้ว่าจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ ผู้ที่สนใจสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนประกันสุขภาพที่เหมาะสมได้ที่ คู่มือเลือกประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

​​หมายเหตุ : ​​ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ทั้งนี้ การรับประกันภัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ รายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย​


ที่มา

  • โรงพยาบาลเวชธานี - www.vejthani.com

บทความ

“อาการโรคเบาหวาน”ภัยเงียบคุกคามสุขภาพ รู้ทันป้องกันได้

เบาหวาน...ภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพ! โรคเบาหวานมักไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้ากับโรคร้ายนี้ จนกระทั่งเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับโรคเบาหวานให้มากขึ้น

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย สัญญาณเตือนอะไร? เข้าใจสาเหตุและวิธีรับมือ

อาการปวดท้องน้อยด้านซ้ายอาจไม่ใช่แค่อาการท้องอืดธรรมดา หลายครั้งกลับเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ ตั้งแต่ภาวะลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

7 โรคร้ายแรงที่คนไทยควรรู้จัก และวิธีป้องกัน
 

โรคร้ายแรงเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ที่สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวัน

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ