วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเอง รับฟังเสียงสัญญาณเตือนของหัวใจ

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเอง รับฟังเสียงสัญญาณเตือนของหัวใจ

02/2025
วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเอง



ทุก ๆ นาทีที่เข็มนาฬิกาเดินหน้า มีหัวใจหลายดวงที่หยุดเต้นอย่างไม่มีวันกลับมา โรคหัวใจไม่เพียงคร่าชีวิตคนไทยมากถึง 70,000 รายในปี 2565 แต่ยังทิ้งร่องรอยความสูญเสียไว้ในครอบครัวอีกนับไม่ถ้วน แม้ว่าโรคหัวใจมักจะแฝงตัวอยู่ในสัญญาณเตือนที่คลุมเครือ จนบางครั้งอาจไม่ทันได้สังเกต แต่การเรียนรู้ที่จะ "ฟัง" เสียงของหัวใจตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ การเข้าใจภาษาที่หัวใจพยายามสื่อสารจะช่วยให้สามารถดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

บทความนี้จะพามาเรียนรู้วิธีอ่านภาษาที่หัวใจพยายามสื่อสาร ด้วยเทคนิคการตรวจสอบอาการเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถตอบรับสัญญาณเตือนจากหัวใจได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
 

โรคหัวใจคืออะไร

โรคหัวใจ หรือ Heart Disease หมายถึง ความผิดปกติของอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เมื่อหัวใจเกิดความบกพร่องในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นที่กล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ หรือระบบไฟฟ้าของหัวใจ ย่อมส่งผลให้ประสิทธิภาพการนำพาออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ต่างๆ ลดลง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายตามมา
 

อาการของโรคหัวใจแต่ละชนิด

โรคหัวใจแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีอาการแตกต่างกัน ดังนี้

  1. โรคหลอดเลือดหัวใจ มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่เมื่อมีอาการ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดเค้นบริเวณหัวใจ ซึ่งอาจร้าวไปที่แขน ไหล่ซ้าย ขากรรไกร หรือหลัง ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก ใจสั่น คลื่นไส้อาเจียน และเหงื่อออกมาก ในรายที่รุนแรงอาจหน้ามืดจนหมดสติได้
  2. โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แสดงอาการผ่านความเจ็บแน่นบริเวณกลางหน้าอก ที่อาจร้าวไปยังไหล่ แขน คอ หรือหลัง ผู้ป่วยมักมีเหงื่อออกมาก ตัวเย็น วิงเวียน และอ่อนเพลีย โดยความรุนแรงของอาการจะแปรผันตามระดับการตีบของหลอดเลือด
  3. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะผู้ป่วยจะมีอาการใจสั่นผิดปกติ รู้สึกวูบ หน้ามืด เป็นลม ร่วมกับอาการจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่และหน้าอก บางรายอาจอ่อนเพลียมากจนนอนราบไม่ได้
  4. โรคลิ้นหัวใจรั่ว ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดในหน้าอก วิงเวียนจนเป็นลม เหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเมื่อออกแรง หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ และอาจพบอาการบวมตามแขนขา ท้องมาน หรือไอมีเสมหะปนเลือด
  5. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อาจแสดงอาการได้หลายรูปแบบ บางรายอาจไม่แสดงอาการชัดเจนแต่จะได้ยินเสียงหัวใจผิดปกติ บางรายมีอาการเหนื่อยง่าย ตัวเขียว หน้าอกโป่ง หรือเป็นลม ในเด็กเล็กอาจสังเกตได้จากการมีเหงื่อออกมากที่ศีรษะ ดูดนมนาน เลี้ยงไม่โต
  6. โรคหัวใจติดเชื้อ มักเริ่มด้วยอาการไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหารจนน้ำหนักลด ร่วมกับอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อ ผู้ป่วยจะมีอาการซีดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาจพบจุดเลือดออกตามตัว และในรายที่รุนแรงอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่น หัวใจวาย อัมพาต หรือไตวาย
     

สาเหตุของโรคหัวใจ

  1. ระดับไขมันในเลือดสูงเกินไป ส่งผลให้เกิดการสะสมในผนังหลอดเลือด จนทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบแคบลง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ

  2. ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดผ่านหลอดเลือดที่มีแรงต้านสูง นอกจากนี้ยังส่งผลให้ผนังหลอดเลือดเสื่อมสภาพเร็วขึ้น

  3. ความเสื่อมของหลอดเลือด ทำให้ความยืดหยุ่นลดลง ไม่สามารถรับแรงดันเลือดได้ดีเหมือนเดิม อาจนำไปสู่การอุดตันและการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดได้ง่ายขึ้น

  4. ระบบการทำงานของหัวใจ อาจเกิดความผิดปกติได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ โรคประจำตัวอย่างเบาหวาน หรือปัจจัยที่รบกวนระบบการไหลเวียนเลือด

  5. สุขภาพจิตใจ ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของหัวใจ ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความโกรธ ล้วนส่งผลต่อการเต้นของหัวใจและความยืดหยุ่นของหลอดเลือด

  6. พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และการขาดการออกกำลังกาย ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

  7. ปัจจัยทางพันธุกรรม ก็มีส่วนสำคัญ โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาว มักมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป

การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้สามารถป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิตให้เอื้อต่อสุขภาพหัวใจที่ดี
 

หัวใจอยู่ข้างไหน

หัวใจของมนุษย์เป็นอวัยวะที่มีขนาดประมาณเท่ากำปั้น ภายในมีลักษะเป็นกล้ามเนื้อที่กลวง โดยหัวใจจะอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของอก เยื้องไปฝั่งข้างซ้ายของร่างกายเล็กน้อย ซึ่งตั้งอยู่ภายใต้กระดูกหน้าอก ตำแหน่งที่อยู่ไปทางซ้ายเล็กน้อยนี้ช่วยให้หัวใจสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย

วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเอง

1. การตรวจชีพจร

เป็นการตรวจที่ควรทำในช่วงเช้าหลังตื่นนอน โดยต้องงดกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว และงดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง วิธีตรวจทำได้โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางวางบนข้อมือ นับการเต้น 30 วินาทีแล้วคูณสอง สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงควรตรวจ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงเวลาต่างๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ย โดยหัวใจที่ทำงานปกติจะเต้นอย่างสม่ำเสมอโดยจะอยู่ที่ 60-100 ครั้งต่อนาที ซึ่งหากใครที่หัวใจเต้นเิน 150 ครั้งต่อนาที ถือว่ามีภาวะหัวใจเต้นเร็วมากเข้าขั้นอันตราย
 

2. การวัดความดันโลหิต

การวัดความดันโลหิตเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ควรวัดต่อเนื่องอย่างน้อย 7 วัน วันละ 4 ครั้ง คือช่วงเช้าหลังตื่นนอน จำนวน 2 ครั้ง และก่อนเข้านอนจำนวน 2 ครั้ง โดยต้องพักอย่างน้อย 30 นาทีก่อนวัด และเว้นระยะ 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหาร ดื่มกาแฟ สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกาย ขณะวัดให้นั่งหลังตรง เท้าวางราบกับพื้น วางแขนระดับเดียวกับหัวใจ
 

3. การตรวจสอบอาการเหนื่อยง่าย

สังเกตว่าเมื่อทำกิจกรรมเดียวกับคนทั่วไป รู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติหรือไม่ การหายใจที่ผิดปกติจะไม่สัมพันธ์กับความต้องการออกซิเจนของร่างกาย เช่น เหนื่อยมากผิดปกติเมื่อเดินระยะสั้นๆ หรือเหนื่อยแม้ขณะนั่งพัก
 

4. การสังเกตอาการบวม

แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ บวมแบบกดแล้วบุ๋มและไม่บุ๋ม โดยทดสอบด้วยการกดบริเวณที่บวมค้างไว้ 5-10 วินาที สังเกตรอยบุ๋มที่เกิดขึ้น อาการบวมอาจพบได้ที่ขา ข้อเท้า เท้า หน้า และท้อง อย่างไรก็ตาม อาการบวมอาจเกิดจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากโรคหัวใจ
 

5. การประเมินความเสี่ยง

ด้วย Thai CV risk score เหมาะสำหรับคนไทยอายุ 35-70 ปีที่ไม่เคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจหรือโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ การประเมินจะคำนวณโอกาสเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปีข้างหน้า โดยพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

คำเตือน: การตรวจด้วยตนเองเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้น ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้ หากพบความผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่แม่นยำและได้รับการรักษาที่เหมาะสม
 

วิธีป้องกันโรคหัวใจ

8 วิธีป้องกันโรคหัวใจที่ควรทำเป็นประจำเพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีในระยะยาว

  1. รักษาสัมพันธภาพที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ควรพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงแบบตัวต่อตัว หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ออกกำลังกาย ทำงานอดิเรก หรือจิตอาสา ไม่พึ่งพาแต่โซเชียลมีเดียที่อาจทำให้เกิดความเครียดจากการเปรียบเทียบชีวิตกับผู้อื่น
  2. ระวังเรื่องไขมัน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันทรานส์ที่พบได้ในอาหารทอด เบเกอรี่ เช่น ปาท่องโก๋ โดนัท คุกกี้ และขนมขบเคี้ยว เพราะไขมันทรานส์จะไปเพิ่มไขมันเลว (LDL) และลดไขมันดี (HDL) ส่งผลเสียต่อหลอดเลือดหัวใจ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคไม่เกิน 2.2 กรัมต่อวัน หรือ 0.5 กรัมต่อ 1 หน่วยบริโภค ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งก่อนเลือกซื้ออาหาร
  3. ทานปลาบำรุงหัวใจ รับประทานปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง เช่น แซลมอน ทูน่า ปลาช่อน ปลาดุก อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 มื้อ เพราะช่วยลดความเสี่ยงหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ถึง 10% หากทานปลาไม่เพียงพอ อาจพิจารณาทานน้ำมันปลาเสริม โดยปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนและไม่ควรเกิน 2 กรัมต่อวัน
  4. ออกกำลังกายแบบเบิร์นไขมัน ควบคุมการเต้นของหัวใจให้อยู่ในช่วงเบิร์นไขมันที่ 70% ของอัตราการเต้นสูงสุด คำนวณได้จาก 0.7 x (220 - อายุ) เช่น คนอายุ 40 ปี ควรมีชีพจรขณะออกกำลังกายที่ 126 ครั้งต่อนาที ออกกำลังครั้งละ 30 นาที อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ เลือกกิจกรรมที่ชอบและทำได้สม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
  5. นอนให้เพียงพอ นอนวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยต้องมีช่วงหลับลึก (Deep Sleep) 30-50 นาที เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายและหัวใจได้พักฟื้นอย่างเต็มที่ สังเกตได้จากอุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิตจะลดลง หัวใจเต้นช้าลงเหลือ 40-60 ครั้งต่อนาที หากมีปัญหาการนอน เช่น นอนกรน หรือตื่นมาแล้วไม่สดชื่น ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง
  6. ควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูงส่งผลให้หลอดเลือดแดงเสื่อมก่อนวัย ควรรักษาระดับน้ำตาลให้ต่ำกว่า 100 มก./ดล. ไขมันรวมต่ำกว่า 200 มก./ดล. และไขมันดี (HDL) สูงกว่า 60 มก./ดล. ด้วยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร และตรวจสุขภาพประจำปี
  7. จัดการความเครียด ความเครียดเรื้อรังและภาวะซึมเศร้าเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ 1.5-2 เท่า โดยเฉพาะความเศร้าจากการสูญเสียคนรักในเดือนแรกเพิ่มโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจถึง 2-3 เท่า ควรหากิจกรรมคลายเครียดที่เหมาะกับตัวเอง เช่น ท่องเที่ยว ทำสมาธิ ทำงานอดิเรก พบปะเพื่อนฝูง หรือทำกิจกรรมจิตอาสา
  8. เลิกบุหรี่ การสูบบุหรี่ไม่ว่ามากหรือน้อยล้วนอันตราย เพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันถึง 10 เท่า เพราะนิโคตินและสารพิษในควันบุหรี่ทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ผนังหลอดเลือดหนา หัวใจเต้นผิดปกติ และขาดออกซิเจน เพื่อหัวใจที่แข็งแรงจึงควรเลิกสูบบุหรี่โดยเร็วที่สุด
     

การเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณของหัวใจด้วยตนเองเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรวจชีพจร การวัดความดันโลหิต การสังเกตอาการเหนื่อยง่ายผิดปกติ หรือการประเมินความเสี่ยง ทุกวิธีล้วนมีประโยชน์ในการคัดกรองโรคหัวใจเบื้องต้น อย่างไรก็ตาม การตรวจสุขภาพประจำปีและการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางยังคงมีความสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อพบความผิดปกติที่น่ากังวล การวินิจฉัยและการรักษาที่ทันท่วงทีจะช่วยป้องกันความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

นอกจากการดูแลสุขภาพด้วยการตรวจคัดกรองแล้ว การมีประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรงที่ครอบคลุมการรักษาโรคหัวใจก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคหัวใจนั้นค่อนข้างสูง การมีหลักประกันที่คุ้มครองค่าใช้จ่ายจะช่วยลดภาระทางการเงิน และทำให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถเข้าถึงการรักษาที่จำเป็นได้อย่างทันท่วงทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง พร้อมใช้ชีวิตได้เต็มที่ในทุกๆ วัน

หมายเหตุ : ​​ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง ทั้งนี้ การรับประกันภัยเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของบริษัทฯ รายละเอียดและเงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย​

ขอบคุณข้อมูลจาก

  • คุณเป็นโรคหัวใจหรือไม่? โรคหัวใจตรวจด้วยวิธีใดได้บ้าง - โรงพยาบาลศิครินทร์

  • ​5 วิธีตรวจเช็ค ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ | Hfocus.org
     

บทความ

โรคอ้วน ภาวะน้ำหนักเกิน จุดเริ่มต้นสารพัดโรคที่ไม่ควรมองข้าม

ผลวิจัยล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร Lancet ได้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่ร้ายแรงของโรคอ้วนที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณทั่วโลก เฉพาะในปี 2565 มีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากโรคอ้วน โดยที่อัตราการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในผู้ใหญ่

อันตรายของความดันโลหิตสูง ค้นหาสาเหตุ อาการ และวิธีรักษา

ความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยที่คุกคามชีวิตคนจำนวนมาก โดยไม่มีอาการเตือนที่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น ทำให้หลายคนละเลยที่จะดูแลสุขภาพ จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

7 สุดยอดอาหารบำรุงหัวใจขาดเลือด

การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งท้าทาย โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ เพราะสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย การหาวิธีควบคุมและลดความเสี่ยงไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยแหล่งสารอาหารบำรุงหัวใจขาดเลือด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยง

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ