วิธีรักษาริดสีดวงด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

วิธีรักษาริดสีดวงด้วยตัวเอง แบบง่ายๆที่ทำได้เองที่บ้าน

02/2025
วิธีรักษาริดสีดวงด้วยตัวเอง


รู้หรือไม่ว่า ริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ต้องปกปิด ปัจจุบันมีคนไทยมากกว่า 3 ใน 4 เคยประสบปัญหานี้มาแล้ว และสิ่งสำคัญคือ ริดสีดวงสามารถบรรเทาและรักษาอาการด้วยตัวเองได้ โดยไม่ต้องกังวลหรือเสียค่าใช้จ่ายสูง บทความนี้จะเปิดเผยเคล็ดลับ 10 วิธีรักษาริดสีดวงที่ทำได้ที่บ้าน ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้อาการลุกลามรุนแรงขึ้น

ริดสีดวงทวารคืออะไร

ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) เป็นภาวะที่เส้นเลือดดำบริเวณปลายสุดของลำไส้ใหญ่และทวารหนักเกิดการขยายตัว บวมพอง และยืดตัวผิดปกติ จนกลายเป็นติ่งเนื้อที่ยื่นออกมาจากทวารหนัก ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ใหญ่ โดยประมาณ 3 ใน 4 ของผู้ใหญ่มักเคยเป็นโรคริดสีดวงทวารอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต และเมื่อเกิดอาการขึ้น ผู้ป่วยอาจสังเกตพบเลือดปนออกมากับอุจจาระในระหว่างการขับถ่าย
 

ชนิดและระยะของริดสีดวงทวาร

ริดสีดวงทวารสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่ ริดสีดวงภายในและริดสีดวงภายนอก

ริดสีดวงภายใน (Internal Hemorrhoids) เกิดขึ้นในส่วนที่สูงกว่าระดับหูรูดทวารหนัก มักไม่มีอาการเจ็บปวดเนื่องจากบริเวณนี้มีเส้นประสาทรับความรู้สึกน้อย แบ่งตามความรุนแรงได้ 4 ระยะ

  • ระยะที่ 1: มีขนาดเล็ก ไม่ยื่นออกมานอกทวารหนัก แต่อาจมีเลือดออกขณะถ่าย

  • ระยะที่ 2: มีติ่งยื่นออกมาเมื่อเบ่งถ่าย แต่สามารถหดกลับเข้าไปได้เอง

  • ระยะที่ 3: มีติ่งยื่นออกมาและต้องใช้นิ้วดันกลับเข้าไป

  • ระยะที่ 4: มีติ่งยื่นออกมาตลอดเวลา ไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้

ริดสีดวงภายนอก (External Hemorrhoids) เกิดที่บริเวณขอบทวารหนักด้านนอก สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ชัดเจน มักมีอาการเจ็บปวดเนื่องจากมีเส้นประสาทรับความรู้สึกมาก อาการที่พบได้เช่น ปวด บวม อักเสบ และอาจมีเลือดออกได้
 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ริดสีดวงทวารเกิดจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดแรงดันผิดปกติในเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก โดยสามารถแบ่งสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงได้ดังนี้

1. ปัจจัยทางพฤติกรรม

  • พฤติกรรมการขับถ่ายที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งเบ่งนานเกินไป หรือการเล่นโทรศัพท์ขณะขับถ่าย ทำให้เกิดแรงดันสะสมบริเวณทวารหนัก

  • การออกกำลังแรงๆ หรือยกของหนักเป็นประจำ ส่งผลให้ความดันในช่องท้องเพิ่มสูงขึ้น

  • การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก ซึ่งอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บและการอักเสบ

2. ปัจจัยด้านการรับประทานอาหาร

  • การบริโภคอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้เกิดอาการท้องผูกเรื้อรัง

  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด

  • การรับประทานอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหารเผ็ด อาจกระตุ้นการอักเสบ

3. ปัจจัยทางสุขภาพ

  • โรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวมากเกินไป ทำให้มีแรงกดทับบริเวณทวารหนัก

  • โรคตับแข็ง ซึ่งส่งผลให้มีการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำที่ทวารหนักโป่งพอง

  • ภาวะท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง ที่ทำให้ต้องเบ่งมากหรือถ่ายบ่อย

4. ปัจจัยทางพันธุกรรม

  • พบความเกี่ยวข้องกับยีน FOXC2 บนโครโมโซมคู่ที่ 16

  • มีประวัติคนในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวาร แสดงถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

5. ปัจจัยจากสภาพแวดล้อมและการทำงาน

  • อาชีพที่ต้องยืนหรือนั่งนานๆ ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด

  • การทำงานที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค

6. ปัจจัยตามช่วงวัยและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

  • การตั้งครรภ์ ที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและแรงกดในช่องท้อง

  • วัยสูงอายุ ที่มีความเสื่อมของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบริเวณทวารหนัก

การเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยในการป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิดโรค รวมถึงช่วยในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล
 

10 วิธีรักษาริดสีดวงด้วยตัวเอง

1. ปรับพฤติกรรมการขับถ่าย

การปรับพฤติกรรมการขับถ่ายเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญในการรักษาและป้องกันริดสีดวง โดยควรฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาเพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน ไม่ควรนั่งเบ่งนานเกิน 10 นาที เพราะจะทำให้เกิดแรงดันที่ทวารหนักมากเกินไป และควรหลีกเลี่ยงเล่นโทรศัพท์ขณะขับถ่าย เพราะจะทำให้ใช้เวลานานเกินความจำเป็นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวง
 

2. นั่งแช่น้ำอุ่น

การนั่งแช่น้ำอุ่นเป็นวิธีในการบรรเทาอาการปวด บวม และอักเสบของริดสีดวง ควรแช่วันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 10-15 นาที ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียน สำคัญที่สุดคือต้องทำความสะอาดอ่างทุกครั้งก่อนใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
 

3. ปรับการรับประทานอาหาร

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการรักษาริดสีดวง ควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่ม และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดโดยเฉพาะอาหารเผ็ด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองบริเวณทวารหนัก
 

4. ใช้ยาสมุนไพร

สมุนไพรหลายชนิดมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการริดสีดวง เช่น ว่านหางจระเข้ที่มีฤทธิ์ลดการอักเสบและสมานแผล เพชรสังฆาตที่ช่วยให้หลอดเลือดดำที่บวมเป่งบริเวณทวารหนักหดตัว และเม็ดแมงลักที่ช่วยเพิ่มกากใยอาหารและทำให้อุจจาระนุ่มขึ้น การใช้สมุนไพรเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
 

5. การทำความสะอาดบริเวณทวารหนัก

การดูแลความสะอาดบริเวณทวารหนักอย่างถูกวิธีเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการอักเสบและการติดเชื้อ ควรล้างด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังขับถ่าย เช็ดให้แห้งเบาๆ ด้วยผ้านุ่ม และหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษทิชชู่ขัดถูเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและบาดเจ็บเพิ่มเติม
 

6. การออกกำลังกายที่เหมาะสม

การออกกำลังกายแบบเบาๆ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและลดอาการของริดสีดวงได้ แนะนำให้เดินเบาๆ วันละ 30 นาที ว่ายน้ำซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ไม่กระแทก หรือฝึกโยคะท่าพื้นฐานที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดบริเวณอุ้งเชิงกราน แต่ควรหลีกเลี่ยงท่าที่ต้องเบ่งหรือกดดันบริเวณท้องมากเกินไป
 

7. การใช้หมอนรองนั่งแบบโดนัท

หมอนรองนั่งแบบโดนัทเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงกดทับบริเวณทวารหนัก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องนั่งเป็นเวลานาน ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับสรีระ และรักษาความสะอาดของหมอนอย่างสม่ำเสมอ การใช้หมอนรองนั่งช่วยบรรเทาอาการปวดและป้องกันการกดทับที่อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
 

8. การประคบเย็น

การประคบเย็นเป็นอีกวิธีในการบรรเทาอาการปวดบวมของริดสีดวง ควรประคบเมื่อมีอาการปวดบวมโดยใช้เวลาครั้งละ 10-15 นาที และทำวันละ 2-3 ครั้ง ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบ บรรเทาอาการปวด และลดอาการบวมของเนื้อเยื่อบริเวณที่เป็นริดสีดวง
 

9. การควบคุมน้ำหนัก

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงของการเกิดริดสีดวง การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงมีความสำคัญ ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง ควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวัน และรักษาสมดุลของการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
 

10. การใช้ยาทาเฉพาะที่

การรับประทานอาหารที่เหมาะสมมีส่วนสำคัญในการรักษาริดสีดวง ควรเพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูงเพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่ม และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดโดยเฉพาะอาหารเผ็ด เพราะอาจกระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองบริเวณทวารหนัก

การใช้ยาทาเฉพาะที่สามารถช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงได้ โดยมีทั้งยาทาลดการอักเสบ ครีมบรรเทาอาการคัน และยาเหน็บทวารหนัก การใช้ยาเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีและปลอดภัย หากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการแพ้ ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที
 

การรักษาทางการแพทย์

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

  • การฉีดยาเพื่อรักษาริดสีดวง แพทย์จะฉีดยาเข้าที่เนื้อเยื่อใต้ริดสีดวงเพื่อกระตุ้นให้เกิดพังผืดและทำให้ก้อนริดสีดวงฝ่อลง วิธีนี้เหมาะสำหรับริดสีดวงขนาดเล็กถึงปานกลาง โดยผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 3-5 ครั้งติดต่อกัน ข้อดีคือเจ็บปวดน้อยและไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • การรักษาด้วยยางรัด เป็นวิธีที่เหมาะกับริดสีดวงภายในที่มีขนาดพอเหมาะ แพทย์จะใช้ยางรัดที่ขั้วของก้อนริดสีดวง ทำให้เนื้อเยื่อขาดเลือดและหลุดออกไปเอง จากนั้นแผลจะหายและเกิดพังผืดที่ช่วยยึดเนื้อเยื่อไม่ให้ย้อยลงมาอีก สามารถทำได้ครั้งละไม่เกิน 3 ตำแหน่ง และต้องเว้นระยะ 3-4 สัปดาห์จึงจะทำตำแหน่งอื่นต่อได้
  • การจี้ด้วยอินฟราเรด เทคนิคนี้ใช้แสงอินฟราเรดจี้ที่ฐานของริดสีดวง ทำให้เกิดแผลเป็นที่ยึดเนื้อเยื่อไว้ เหมาะกับริดสีดวงระยะที่ 1-2 ที่มีขนาดเล็กและยังไม่ย้อยออกมามาก หลังการรักษาอาจมีเลือดออกเล็กน้อยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แต่จะหยุดได้เอง
     

การรักษาด้วยการผ่าตัด

  • การผ่าตัดแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับริดสีดวงขนาดใหญ่หรือระยะที่ 3-4 โดยแพทย์จะตัดก้อนริดสีดวงออกและเย็บปิดแผล วิธีนี้ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าวิธีอื่น แต่เหมาะกับผู้ที่มีริดสีดวงขนาดใหญ่มาก
  • การผ่าตัดด้วยเลเซอร์ เป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใช้แสงเลเซอร์ตัดและจี้เนื้อเยื่อริดสีดวง มีข้อดีคือ แผลเล็ก เจ็บน้อย เสียเลือดน้อยกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม ฟื้นตัวเร็วกว่า และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็ว
  • การผ่าตัดด้วยเครื่องเย็บอัตโนมัติ เหมาะสำหรับริดสีดวงภายในที่มีหลายตำแหน่ง ใช้เครื่องมือพิเศษที่สามารถตัดและเย็บเนื้อเยื่อได้พร้อมกัน ช่วยลดระยะเวลาในการผ่าตัดและการฟื้นตัว

    คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย การเลือกวิธีรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของโรค ขนาดของริดสีดวง และสภาพร่างกายของผู้ป่วย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด
     

การป้องกันริดสีดวง

  • ปรับพฤติกรรมการขับถ่าย การเข้าห้องน้ำทันทีเมื่อปวดอุจจาระเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรกลั้นอุจจาระเพราะจะทำให้อุจจาระแข็งตัวและขับถ่ายยากขึ้น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวง 

  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักสด ผลไม้สด ธัญพืชไม่ขัดสี กล้วยน้ำว้า และมะละกอสุก ซึ่งจะช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างราบรื่น ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน และเริ่มต้นวันด้วยการดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วตอนเช้าเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย 

  • ดูแลสุขอนามัยบริเวณทวารหนัก ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดทุกครั้งหลังขับถ่าย เลือกใช้กระดาษชำระที่นุ่มและไม่ขัดถูแรงๆ หลังจากนั้นควรเช็ดให้แห้งอย่างระมัดระวังโดยการซับเบาๆ 

  • ออกกำลังกายและการควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 30 นาที จะช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก็มีความสำคัญ หากมีน้ำหนักเกินควรพยายามลดน้ำหนักและรักษาดัชนีมวลกายให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน

  • จัดการความเครียด ความเครียดสามารถส่งผลต่อการทำงานของระบบขับถ่าย จึงควรหาวิธีผ่อนคลายความเครียดที่เหมาะกับตนเอง เช่น การทำสมาธิ หรือการทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอวันละ 7-8 ชั่วโมง และการเข้านอนตื่นนอนเป็นเวลา จะช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นระบบและลดความเสี่ยงของการเกิดริดสีดวง

  • ปรับสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมในการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันมีผลต่อการเกิดริดสีดวง ควรจัดท่าทางการนั่งทำงานให้เหมาะสมโดยใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิง และควรลุกเดินทุก 1-2 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการนั่งนานๆ หากจำเป็นต้องนั่งนาน ควรใช้หมอนรองนั่งแบบโดนัทและเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เพื่อลดแรงกดที่บริเวณทวารหนัก


    การดูแลและรักษาริดสีดวงด้วยตนเองเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนสามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นหรือรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์และรับการรักษาริดสีดวงทันที นอกจากการดูแลตัวเองแล้ว การมีประกันสุขภาพที่ดีถือเป็นเกราะป้องกันทางการเงินที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง ประกันสังคม หรือประกันเอกชน ล้วนช่วยให้คุณเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่าย ท้ายที่สุด การดูแลสุขภาพอย่างองค์รวม ทั้งการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง การรับประทานอาหารที่เหมาะสม และการมีความรู้เกี่ยวกับโรค จะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี
     

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับริดสีดวง

ริดสีดวงจะยุบเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของริดสีดวง ซึ่งวิธีรักษาที่เร็วที่สุดอยู่คือการ การนั่งแช่น้ำอุ่นบริเวณทวารหนัก ประมาณ 10-15 นาที ทั้งก่อนและหลังการขับถ่าย เพื่อลดการอักเสบและบวม นอกจากนี้ การเพิ่มปริมาณอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผักและผลไม้ รวมถึงการดื่มน้ำมากขึ้น ก็จะช่วยให้ขับถ่ายสะดวกและบรรเทาอาการของริดสีดวงได้ ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้สามารถทำได้ทันที

ไม่ควรปล่อยริดสีดวงไว้โดยไม่ได้รับการรักษา เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นได้ ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากปล่อยไว้นานเกินไป ได้แก่ มีเลือดออกบ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะซีดและอ่อนเพลีย และริดสีดวงอาจลุกลามและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากขึ้น จนต้องผ่าตัด ดังนั้น เมื่อพบอาการของริดสีดวง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพและรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว

ริดสีดวงภายนอกส่วนใหญ่สามารถหายเองได้ โดยมักจะเป็นอาการอักเสบชั่วคราวที่เกิดจากการเบ่งถ่ายบ่อยๆ ซึ่งผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการด้วยการปรับพฤติกรรมการขับถ่ายอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม หากพบว่าริดสีดวงยังไม่หายไปเอง หรือกลับเป็นบ่อยครั้ง ก็ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อเอาลิ่มเลือดออก

สำหรับผู้ที่มีสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือบัตรทอง จะสามารถเข้ารับการรักษาริดสีดวงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรืออาจจ่ายเพียง 30 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงพยาบาล ดังนั้น ก่อนเข้ารับการรักษา ควรสอบถามข้อมูลค่าใช้จ่ายกับแพทย์หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เพื่อวางแผนการรักษาและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม

หากริดสีดวงแตก จะมีอาการดังนี้ คลำได้ก้อนแข็งบริเวณทวารหนัก เลือดไหลไม่หยุด อาจไหลออกมาปริมาณมาก และเจ็บ ปวด แสบบริเวณรูทวารหนัก ในกรณีที่ริดสีดวงแตกและมีเลือดออกมากกว่า ปกติควรรีบไปพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพและได้รับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

บทความ

รู้ค่ารักษามะเร็งก่อนรักษา ป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน
 

ถามว่า "ค่ารักษามะเร็งแพงแค่ไหน?" คำตอบที่สะท้อนความจริงคือ "แพงกว่าที่คิด และสูงขึ้นทุกปี" จากข้อมูลล่าสุดพบว่า ค่ารักษามะเร็งในประเทศไทยเริ่มต้นที่หลักแสนและอาจพุ่งสูงถึงหลายล้านบาทต่อราย

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย สัญญาณเตือนอะไร? เข้าใจสาเหตุและวิธีรับมือ

อาการปวดท้องน้อยด้านซ้ายอาจไม่ใช่แค่อาการท้องอืดธรรมดา หลายครั้งกลับเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ ตั้งแต่ภาวะลำไส้แปรปรวน ไปจนถึงโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

7 โรคร้ายแรงที่คนไทยควรรู้จัก และวิธีป้องกัน
 

โรคร้ายแรงเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง ที่สามารถส่งผลกระทบรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตและการใช้ชีวิตประจำวัน

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ