เลือกประกันสะสมทรัพย์ที่ไหนดี ที่คุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการออมเงินระยะยาว
ใช่ คุณต้องเสียภาษีแม้จะเป็นรายได้เสริม หากรายได้รวมทั้งปีเกิน 150,000 บาท ควรยื่นแบบแสดงรายการภาษี
การขายของออนไลน์เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม และ มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม แต่สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องรู้และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ "ภาษี" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากการไม่ชำระภาษีหรือการชำระภาษีไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้ ดังนั้นบทความนี้จะเป็นคู่มือที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์อย่างครบถ้วนและถูกต้อง
การขายของออนไลน์อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพูดถึงเรื่องภาษี หลายคนอาจยังสับสน มาทำความเข้าใจกันว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ขายออนไลน์จำเป็นต้องยื่นภาษี
สำหรับผู้ขายของออนไลน์ในประเทศไทย ต้องยื่นภาษีดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94)ถ้ามีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ดังนั้น ผู้ขายของออนไลน์ควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และปฏิบัติตามเกณฑ์การเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ภาษีเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจทุกประเภท รวมถึงธุรกิจออนไลน์ มาทำความรู้จักกับประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์กัน
1. ภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90
ภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 เป็นภาษีที่ผู้มีรายได้จากการประกอบธุรกิจหรืออาชีพอิสระต้องยื่น ซึ่งรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ
2. ภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94
ภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94 เป็นภาษีที่ต้องยื่นเมื่อมีรายได้ในครึ่งปีแรก โดยต้องคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนแรกของปีเพื่อยื่นเสียภาษี
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการ โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม
4. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (สำหรับธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่)
สำหรับธุรกิจออนไลน์ที่จัดตั้งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นภาษีที่คำนวณจากกำไรสุทธิของธุรกิจ
การคำนวณภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ขายออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต มาเรียนรู้วิธีการคำนวณภาษีอย่างง่าย ๆ กัน
สูตรการคำนวณภาษี
การคำนวณภาษีสำหรับผู้ขายออนไลน์ที่เป็นบุคคลธรรมดาจะคำนวณจากรายได้สุทธิหักค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนได้ โดยใช้สูตร: ภาษี = (รายได้สุทธิ - ค่าใช้จ่ายที่ลดหย่อนได้) x อัตราภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนดเป็นขั้นบันได
ตัวอย่างการคำนวณภาษี
สมมติว่าผู้ขายมีรายได้รวม 500,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนได้ 200,000 บาท การคำนวณภาษีจะเป็นดังนี้: ภาษี = (500,000 - 200,000) x อัตราภาษี
เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์
ปัจจุบันมีเครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถคำนวณภาษีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เช่น เว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือโปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์ต่างๆ
รายได้จากการขายของออนไลน์ผ่าน โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม และ มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 40(8) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94)
ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ที่มีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
มีการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 ครึ่งปีละ 1 ครั้ง เพื่อแบ่งเบาภาระการเสียภาษีในคราวเดียวกัน โดยยื่นระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน ของปีเดียวกัน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ
การตรวจสอบข้อมูลการชำระเงิน (e-Payment)
กรมสรรพากรมีกฎหมายให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 เพื่อตรวจสอบข้อมูล
กรณีที่มีการฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่าจำนวนเงินรวมกันจะมากน้อยเท่าใด
กรณีที่มีการฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปี และมีจำนวนเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาท
e-Payment หรือ การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ วิธีการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยไม่ต้องใช้เงินสด เช่น การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/บัตรเดบิต, ระบบ QR Code, ระบบ e-Wallet เป็นต้น
สำหรับผู้ขายของออนไลน์ การใช้ e-Payment มีประโยชน์หลายประการ เช่น:
ขั้นตอนการใช้ e-Payment สำหรับผู้ขายออนไลน์ ได้แก่:
การใช้ e-Payment อย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ขายออนไลน์สามารถรับชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
การยื่นภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากเข้าใจขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มาดูวิธีการยื่นภาษีสำหรับคนขายของออนไลน์กัน
ขั้นตอนการยื่นภาษีสำหรับผู้ขายออนไลน์
เตรียมเอกสารสำคัญ
ผู้ขายต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขายและการชำระเงิน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และเอกสารการชำระเงินต่างๆ
เลือกช่องทางการยื่นภาษี
การยื่นภาษีสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ยื่นผ่านโปรแกรม e-Filing หรือยื่นผ่านตัวแทนรับยื่นภาษี
กรอกแบบฟอร์มภาษี
ผู้ขายต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มภาษีให้ครบถ้วนและถูกต้อง โดยระบุรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีที่ต้องชำระ
ชำระภาษี
หลังจากกรอกแบบฟอร์มเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายต้องชำระภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ โดยสามารถชำระผ่านธนาคารหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ
ปัจจุบันมีช่องทางการยื่นภาษีออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ที่ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากขึ้น มาดูกันว่ามีช่องทางไหนบ้าง
ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร
เว็บไซต์กรมสรรพากรเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วสำหรับการยื่นภาษีออนไลน์ ผู้ขายสามารถลงทะเบียนและยื่นแบบฟอร์มภาษีได้ทันที
ยื่นผ่านโปรแกรม e-Filing
โปรแกรม e-Filing เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้การยื่นภาษีง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น โดยสามารถกรอกข้อมูลและยื่นภาษีผ่านโปรแกรมนี้ได้
ยื่นผ่านตัวแทนรับยื่นภาษี
ผู้ขายที่ไม่สะดวกในการยื่นภาษีด้วยตนเองสามารถใช้บริการตัวแทนรับยื่นภาษี ซึ่งจะช่วยดูแลและยื่นภาษีให้ครบถ้วนและถูกต้อง
การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ มาเรียนรู้
กลยุทธ์ 3 "รู้" ของ คุณถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TaxBugnoms วางแผนภาษีออนไลน์ ที่จะช่วยให้จัดการภาษีได้อย่างชาญฉลาด
1. รู้รายได้: เพื่อยื่นภาษีถูกประเภท
การรู้รายได้ที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ขายของออนไลน์ เพราะรายได้จะกำหนดว่าคุณต้องยื่นภาษีประเภทใด
บันทึกรายได้ทุกช่องทาง: ทั้งจากเว็บไซต์ส่วนตัว marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, หรือแม้แต่การขายผ่าน social media
แยกประเภทรายได้: เช่น รายได้จากการขายสินค้า, รายได้จากค่าจัดส่ง, รายได้จากการรับจ้างออกแบบ
ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยติดตาม: มีแอพหลายตัวที่ช่วยรวบรวมรายได้จากหลายแพลตฟอร์มได้
เก็บหลักฐานการโอนเงิน: statement จากธนาคารหรือ e-wallet ต่าง ๆ
เมื่อรู้รายได้ที่แท้จริง คุณจะสามารถระบุได้ว่าต้องยื่นภาษีในฐานะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือไม่
2. รู้รายจ่าย: เลือกวิธีคิดภาษีที่เหมาะสม
การรู้รายจ่ายที่แท้จริงช่วยให้คุณเลือกวิธีคำนวณภาษีที่เป็นประโยชน์ที่สุด
บันทึกค่าใช้จ่ายทุกรายการ: ทั้งค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าโฆษณา ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ
แยกประเภทค่าใช้จ่าย: เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณและตรวจสอบ
เก็บใบเสร็จและหลักฐานการจ่ายเงินทุกรายการ
พิจารณาเลือกระหว่างการหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือแบบเหมา:
หักค่าใช้จ่ายตามจริง: เหมาะกับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีหลักฐานครบถ้วน
หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา: เหมาะกับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องการเก็บหลักฐานมากนัก
3. รู้ลดหย่อน: ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เป็นประโยชน์
การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องและครบถ้วนช่วยลดภาระภาษีได้มาก
ศึกษาสิทธิลดหย่อนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ: เช่น ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ การจ้างงานผู้พิการ
ใช้สิทธิลดหย่อนส่วนบุคคล: เช่น ประกันชีวิต เงินบริจาค กองทุน RMF/SSF
วางแผนการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี: เช่น ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
ใช้นโยบายภาครัฐให้เป็นประโยชน์: เช่น โครงการช้อปดีมีคืน, มาตรการส่งเสริม SMEs
คำนวณและเปรียบเทียบ: ดูว่าการใช้สิทธิลดหย่อนแบบใดจะช่วยประหยัดภาษีได้มากที่สุด
การรู้และใช้ประโยชน์จากทั้ง 3 ข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระภาษี และเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในธุรกิจขายของออนไลน์ โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล การใช้กลยุทธ์ 3 "รู้" รู้รายได้ รู้รายจ่าย และรู้ลดหย่อน จะช่วยให้จัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีผ่านการทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันเพื่อการเกษียณ ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การใช้เทคโนโลยีและช่องทางการยื่นภาษีออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกและลดข้อผิดพลาด เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ และก้าวสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจออนไลน์อย่างมั่นใจ! หากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือใช้บริการจากกรมสรรพากร เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ขอบคุณข้อมูลจาก
เว็บไซต์กรมสรรพากร:https://www.rd.go.th/
จดทะเบียนพาณิชย์เมื่อมีรายได้จากการขายออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ไม่จำเป็น สามารถรวมรายได้ทั้งหมดและยื่นภาษีครั้งเดียว แต่ควรแยกบันทึกรายได้จากแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อความชัดเจน
คำนวณจากรายได้สุทธิ (รายได้ - ค่าใช้จ่าย) แล้วนำไปคำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือแบบเหมาได้ตามแต่ข้อกำหนดของกรมสรรพากร
หากเป็นการขายเป็นครั้งคราวไม่ได้ทำเป็นอาชีพ ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากทำเป็นธุรกิจ ต้องนำรายได้มาคำนวณภาษี
เลือกประกันสะสมทรัพย์ที่ไหนดี ที่คุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการออมเงินระยะยาว
สอนวิธียื่นภาษีออนไลน์แบบเข้าใจง่ายในทุกขั้นตอน
วางแผนเกษียณอย่างไรให้มีเงินใช้อย่างเพียงพอ
สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง
ติดต่อเรา
ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ
หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ