​เคล็ดลับจัดการภาษี สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คู่มือฉบับเข้าใจง่าย

ข้ามไปหน้าหลัก
การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

​เคล็ดลับจัดการภาษี สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คู่มือฉบับเข้าใจง่าย​

11/2024
 ​ขายของออนไลน์ ภาษี

​​​​
การขายของออนไลน์เป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น ​​โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม ​​​​และ​ ​มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม​​​ ​แต่สิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องรู้และให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ "ภาษี" ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากการไม่ชำระภาษีหรือการชำระภาษีไม่ถูกต้องอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายได้ ดังนั้นบทความนี้จะเป็นคู่มือที่ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์เข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์อย่างครบถ้วนและถูกต้อง​
 

​ขายของออนไลน์ต้องยื่นภาษีเมื่อไร

​​​การขายของออนไลน์อาจดูเหมือนเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพูดถึงเรื่องภาษี หลายคนอาจยังสับสน มาทำความเข้าใจกันว่าเมื่อไหร่ที่ผู้ขายออนไลน์จำเป็นต้องยื่นภาษี​

​​สำหรับผู้ขายของออนไลน์ในประเทศไทย ต้องยื่นภาษีดังนี้​

  1. ​​ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94)ถ้ามีรายได้จากการขายของออนไลน์เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป​

  2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ถ้ามีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป​

​​ดังนั้น ผู้ขายของออนไลน์ควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และปฏิบัติตามเกณฑ์การเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
 

ทำความเข้าใจภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์

​​ภาษีเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับธุรกิจทุกประเภท รวมถึงธุรกิจออนไลน์ มาทำความรู้จักกับประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์กัน​

1. ภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90​

​​ภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 เป็นภาษีที่ผู้มีรายได้จากการประกอบธุรกิจหรืออาชีพอิสระต้องยื่น ซึ่งรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ​

2. ​​ภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94​

​​ภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94 เป็นภาษีที่ต้องยื่นเมื่อมีรายได้ในครึ่งปีแรก โดยต้องคำนวณรายได้และค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนแรกของปีเพื่อยื่นเสียภาษี​

3. ​​ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)​

​​ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นภาษีที่คิดจากการขายสินค้าหรือบริการ โดยทั่วไปแล้วธุรกิจที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม​

4. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (สำหรับธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่)​

​​สำหรับธุรกิจออนไลน์ที่จัดตั้งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดจะต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นภาษีที่คำนวณจากกำไรสุทธิของธุรกิจ​
 

วิธีการคำนวณภาษีสำหรับผู้ขายออนไลน์

​​การคำนวณภาษีอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ขายออนไลน์ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต มาเรียนรู้วิธีการคำนวณภาษีอย่างง่าย ๆ กัน​

​​สูตรการคำนวณภาษี​

​​การคำนวณภาษี​​สำหรับผู้ขายออนไลน์ที่เป็นบุคคลธรรมดาจะคำนวณจากรายได้สุทธิหักค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนได้ โดยใช้สูตร: ภาษี = (รายได้สุทธิ - ค่าใช้จ่ายที่ลดหย่อนได้) x อัตราภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนดเป็นขั้นบันได​

​​ตัวอย่างการคำนวณภาษี​

​​สมมติว่าผู้ขายมีรายได้รวม 500,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนได้ 200,000 บาท การคำนวณภาษีจะเป็นดังนี้: ภาษี = (500,000 - 200,000) x อัตราภาษี​

​​เครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์​

​​ปัจจุบันมีเครื่องมือคำนวณภาษีออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ขายสามารถคำนวณภาษีได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง เช่น เว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือโปรแกรมคำนวณภาษีออนไลน์ต่างๆ​
 

เกณฑ์การเสียภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์

​​ธุรกิจออนไลน์มีเกณฑ์การเสียภาษีที่แตกต่างไปจากธุรกิจทั่วไปหรือไม่? มาทำความเข้าใจเกณฑ์การเสียภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์กัน​ 

​​รายได้จากการขายของออนไลน์ผ่าน ​​ โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์ม​​ และ​ ​มาร์เก็ตเพลสแพลตฟอร์ม​​ ถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 40(8) ซึ่งต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้นิติบุคคล​

​​ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90/94)​

  • ​​ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ที่มีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ปีละ 1 ครั้ง ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป​

  • ​​มีการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 ครึ่งปีละ 1 ครั้ง เพื่อแบ่งเบาภาระการเสียภาษีในคราวเดียวกัน โดยยื่นระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน ของปีเดียวกัน​

​​ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)​

  • ​​ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียน VAT และยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป​

  • ​​ต้องออกใบกำกับภาษีให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการขายสินค้าหรือให้บริการ​

​​การตรวจสอบข้อมูลการชำระเงิน (e-Payment)​

  • ​​กรมสรรพากรมีกฎหมายให้สถาบันการเงินส่งข้อมูลการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ตั้งแต่ 1 มกราคม 2563 เพื่อตรวจสอบข้อมูล​

  • ​​กรณีที่มีการฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปี ไม่ว่าจำนวนเงินรวมกันจะมากน้อยเท่าใด​

  • ​​กรณีที่มีการฝากหรือโอนเงินเข้าบัญชีรวมกันตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปี และมีจำนวนเงินรวมกันเกิน 2 ล้านบาท​

​​ดังนั้น ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ควรปฏิบัติตามเกณฑ์การเสียภาษีอย่างถูกต้อง ทั้งการยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90/94 และการจดทะเบียน VAT เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและภาษีในอนาคต​
 

วิธีการใช้ e-Payment สำหรับผู้ขายออนไลน์

​​e-Payment หรือ การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ วิธีการชำระเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์​​ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมออนไลน์ ​​ โดยไม่ต้องใช้เงินสด เช่น การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/บัตรเดบิต, ระบบ QR Code, ระบบ e-Wallet เป็นต้น​

​​สำหรับผู้ขายของออนไลน์ การใช้ e-Payment มีประโยชน์หลายประการ เช่น:​

  1. ​​ความสะดวกและรวดเร็วในการรับชำระเงิน​
  2. ​​ความปลอดภัยในการรับชำระเงิน​
  3. ​​การติดตามและตรวจสอบการชำระเงินได้ง่ายขึ้น​
  4. ​​ช่วยให้ผู้ขายปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้ถูกต้อง​

​​ขั้นตอนการใช้ e-Payment สำหรับผู้ขายออนไลน์ ได้แก่:​

  1. จดทะเบียน e-Payment กับธนาคารหรือผู้ให้บริการ​
  2. ​​ติดตั้งระบบ e-Payment บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน​
  3. ​​แสดงตัวเลือกการชำระเงินให้ลูกค้า​
  4. ​​ติดตามและตรวจสอบการชำระเงิน​
  5. ​​ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านภาษีและกฎหมาย​

​​การใช้ e-Payment อย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ขายออนไลน์สามารถรับชำระเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
 

การยื่นภาษีสำหรับคนขายของออนไลน์

การยื่นภาษีอาจดูเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หากเข้าใจขั้นตอนที่ถูกต้อง ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มาดูวิธีการยื่นภาษีสำหรับคนขายของออนไลน์กัน​

​​ขั้นตอนการยื่นภาษีสำหรับผู้ขายออนไลน์​

  1. ​​เตรียมเอกสารสำคัญ​ ​​
    ผู้ขายต้องเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขายและการชำระเงิน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และเอกสารการชำระเงินต่างๆ​

  2. ​​เลือกช่องทางการยื่นภาษี​
    ​​การยื่นภาษีสามารถทำได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร ยื่นผ่านโปรแกรม e-Filing หรือยื่นผ่านตัวแทนรับยื่นภาษี​

  3. ​​กรอกแบบฟอร์มภาษี​
    ผู้ขายต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มภาษีให้ครบถ้วนและถูกต้อง โดยระบุรายได้ ค่าใช้จ่าย และภาษีที่ต้องชำระ​

  4. ​​ชำระภาษี​
    หลังจากกรอกแบบฟอร์มเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายต้องชำระภาษีตามจำนวนที่คำนวณได้ โดยสามารถชำระผ่านธนาคารหรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ​
     

ช่องทางการยื่นภาษีออนไลน์

​​ปัจจุบันมีช่องทางการยื่นภาษีออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ที่ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากขึ้น มาดูกันว่ามีช่องทางไหนบ้าง​

  1. ​​ยื่นผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร​
    ​​เว็บไซต์กรมสรรพากรเป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วสำหรับการ​​ยื่นภาษีออนไลน์​​ ผู้ขายสามารถลงทะเบียนและยื่นแบบฟอร์มภาษีได้ทันที​

  2. ​​ยื่นผ่านโปรแกรม e-Filing​
    ​​โปรแกรม e-Filing เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้การยื่นภาษีง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น โดยสามารถกรอกข้อมูลและยื่นภาษีผ่านโปรแกรมนี้ได้​

  3. ยื่นผ่านตัวแทนรับยื่นภาษี​
    ​​ผู้ขายที่ไม่สะดวกในการยื่นภาษีด้วยตนเองสามารถใช้บริการตัวแทนรับยื่นภาษี ซึ่งจะช่วยดูแลและยื่นภาษีให้ครบถ้วนและถูกต้อง​
     

กลยุทธ์ 3 "รู้" สำหรับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์

​​การบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ มาเรียนรู้ ​

​​กลยุทธ์ 3 "รู้" ของ คุณถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TaxBugnoms วางแผนภาษีออนไลน์​​ ที่จะช่วยให้จัดการภาษีได้อย่างชาญฉลาด​

1. ​​รู้รายได้: เพื่อยื่นภาษีถูกประเภท​

​​การรู้รายได้ที่แท้จริงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการยื่นภาษีอย่างถูกต้อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ขายของออนไลน์ เพราะรายได้จะกำหนดว่าคุณต้องยื่นภาษีประเภทใด​

  • ​​บันทึกรายได้ทุกช่องทาง: ทั้งจากเว็บไซต์ส่วนตัว marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, หรือแม้แต่การขายผ่าน social media​

  • ​​แยกประเภทรายได้: เช่น รายได้จากการขายสินค้า, รายได้จากค่าจัดส่ง, รายได้จากการรับจ้างออกแบบ​

  • ​​ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยติดตาม: มีแอพหลายตัวที่ช่วยรวบรวมรายได้จากหลายแพลตฟอร์มได้​

  • ​​เก็บหลักฐานการโอนเงิน: statement จากธนาคารหรือ e-wallet ต่าง ๆ​

​​เมื่อรู้รายได้ที่แท้จริง คุณจะสามารถระบุได้ว่าต้องยื่นภาษีในฐานะบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือไม่​


2. ​​รู้รายจ่าย: เลือกวิธีคิดภาษีที่เหมาะสม​

​​การรู้รายจ่ายที่แท้จริงช่วยให้คุณเลือกวิธีคำนวณภาษีที่เป็นประโยชน์ที่สุด​

  • ​​บันทึกค่าใช้จ่ายทุกรายการ: ทั้งค่าสินค้า ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าโฆษณา ค่าเช่าโกดัง ฯลฯ​

  • ​​แยกประเภทค่าใช้จ่าย: เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณและตรวจสอบ​

  • ​​เก็บใบเสร็จและหลักฐานการจ่ายเงินทุกรายการ​

  • ​​พิจารณาเลือกระหว่างการหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือแบบเหมา:​

  • ​​หักค่าใช้จ่ายตามจริง: เหมาะกับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายสูงและมีหลักฐานครบถ้วน​

  • ​​หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา: เหมาะกับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่ต้องการเก็บหลักฐานมากนัก​
     

 

3. รู้ลดหย่อน: ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้เป็นประโยชน์​

​​การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี​​อย่างถูกต้องและครบถ้วนช่วยลดภาระภาษีได้มาก​

  • ​​ศึกษาสิทธิลดหย่อนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ: เช่น ค่าเสื่อมราคาอุปกรณ์ การจ้างงานผู้พิการ​

  • ​​ใช้สิทธิลดหย่อนส่วนบุคคล: เช่น ประกันชีวิต เงินบริจาค กองทุน RMF/SSF​

  • ​​ใช้นโยบายภาครัฐให้เป็นประโยชน์: เช่น โครงการช้อปดีมีคืน, มาตรการส่งเสริม SMEs​

  • ​​คำนวณและเปรียบเทียบ: ดูว่าการใช้สิทธิลดหย่อนแบบใดจะช่วยประหยัดภาษีได้มากที่สุด​

​​การรู้และใช้ประโยชน์จากทั้ง 3 ข้อนี้จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระภาษี และเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย​

​​การวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในธุรกิจขายของออนไลน์ โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคล การใช้กลยุทธ์ 3 "รู้" รู้รายได้ รู้รายจ่าย และรู้ลดหย่อน จะช่วยให้จัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีผ่านการทำ​​ประกันชีวิต​ ​ประกันสุขภาพ​​ และ​​​​ประกันเพื่อการเกษียณ​​ ไม่เพียงช่วยลดภาระภาษี แต่ยังสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว การใช้เทคโนโลยีและช่องทางการยื่นภาษีออนไลน์จะช่วยอำนวยความสะดวกและลดข้อผิดพลาด เริ่มต้นวางแผนภาษีตั้งแต่วันนี้ และก้าวสู่ความสำเร็จในโลกธุรกิจออนไลน์อย่างมั่นใจ! หากยังมีข้อสงสัยหรือต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม อย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือใช้บริการจากกรมสรรพากร เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจจะดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีประสิทธิภาพสูงสุด​


​​ขอบคุณข้อมูลจาก​

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับภาษีขายของออนไลน์

​​ใช่ คุณต้องเสียภาษีแม้จะเป็นรายได้เสริม หากรายได้รวมทั้งปีเกิน 150,000 บาท ควรยื่นแบบแสดงรายการภาษี​

​​จดทะเบียนพาณิชย์เมื่อมีรายได้จากการขายออนไลน์เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี​

​​ไม่จำเป็น สามารถรวมรายได้ทั้งหมดและยื่นภาษีครั้งเดียว แต่ควรแยกบันทึกรายได้จากแต่ละแพลตฟอร์มเพื่อความชัดเจน​

​​คำนวณจากรายได้สุทธิ (รายได้ - ค่าใช้จ่าย) แล้วนำไปคำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือแบบเหมาได้ตามแต่ข้อกำหนดของกรมสรรพากร​

​​หากเป็นการขายเป็นครั้งคราวไม่ได้ทำเป็นอาชีพ ไม่ต้องเสียภาษี แต่หากทำเป็นธุรกิจ ต้องนำรายได้มาคำนวณภาษี​

บทความ

เลือกประกันสะสมทรัพย์ที่ไหนดี ที่คุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการออมเงินระยะยาว

​​ค่าครองชีพสูงขึ้น​​ตามสภาพเศรษฐกิจ​​ ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตควบคู่ไปกับการออมเงินระยะยาว และช่วยเรื่อง​​​การลดหย่อนภาษี​​ ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้มีรายได้ประจำ

สอนวิธียื่นภาษีออนไลน์แบบเข้าใจง่ายในทุกขั้นตอน
 

ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์แบบเข้าใจง่ายพร้อมกับเข้าใจความหมายของภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาคืออะไร และใครบ้างที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี รวมถึงเอกสารที่ต้องเตรียมให้พร้อมก่อนยื่นภาษีออนไลน์ มาติดตามไปพร้อมกันได้เลย

วางแผนเกษียณอย่างไรให้มีเงินใช้อย่างเพียงพอ
 

การวางแผนเกษียณอายุเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรทำ ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ยิ่งเริ่มได้เร็ว ยิ่งได้เปรียบ หลายคนมองเรื่องเกษียณเป็นเรื่องอีกยาวไกลแต่หากเริ่มออมเงินตั้งแต่วันนี้ก็จะมีเวลาทำให้เงินงอกเงยได้มากขึ้น และไม่ต้องรู้สึกกดดันจนเกินไปเมื่อเข้าใกล้วัยเกษียณ

สงวนลิขสิทธิ์ @ ชับบ์ 2022 เนื้อหาในเอกสารนี้มีขึ้นเพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และจะไม่ถือว่าเป็นการให้คำแนะนำใด ๆ โปรดตรวจสอบข้อกำหนด เงื่อนไข และข้อยกเว้นฉบับสมบูรณ์ของนโยบายของเราเพื่อพิจารณาความเหมาะสม ความคุ้มครองอาจได้รับการรับประกันโดยบริษัทชับบ์ หรือบริษัทในเครือข่ายอย่างน้อยหนึ่งราย สิทธิความคุ้มครองและบริการบางอย่างอาจไม่สามารถใช้ได้ในบางประเทศและบางเขตพื้นที่ ชับบ์® และประทับตราพาณิชย์ของชับบ์ Insured.SM เป็นเครื่องหมายการค้าของชับบ์ที่ได้รับการคุ้มครอง

ติดต่อเรา 

ให้ ชับบ์ ไลฟ์ ปกป้อง ดูแลคุณ

หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อเรา เพื่อรับคําแนะนําเกี่ยวกับการปกป้อง คุ้มครองจากความเสี่ยงต่างๆ